
“อีลอน มัสก์” กำลังวางแผนใช้ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI มาบริหารประเทศ และอาจรวมไปถึงการแทนที่พนักงานของรัฐจำนวนมากด้วยปัญญาประดิษฐ์ หลังจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มัสก์ใช้อำนาจของเขาในกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ไล่พนักงานในหน่วยงานของรัฐบาลกลางออกหลายหมื่นคน และมีรายงานว่าเขานำ AI มาใช้ในการประมวลคำตอบและพิจารณาว่าใครควรได้ทำงานต่อไปหรือควรออกจากงานในตอนนี้ด้วย
เบื้องต้น ยังคงไม่แน่ชัดว่าระบบ AI ที่มัสก์จะนำมาใช้บริหารประเทศนั้นมีลักษณะอย่างไร หรือทำงานอย่างไร แต่แผนการของมัสก์ถูกจับตามอง โดยสมาชิกจากพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสที่กดดันให้มัสก์ระบุประเภทและชนิดปัญญาประดิษฐ์ที่เขาจะนำมาใช้ให้ชัดเจน ขณะเดียวกันแผนของมัสก์ก็ไม่ได้รับการยอมรับในหมู่ผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาเตือนว่าการใช้ AI ในรัฐบาลกลาง โดยไม่มีการทดสอบและการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรง
แครี โคเกลียเนส (Cary Coglianese) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียกล่าวว่า หากต้องการใช้เครื่องมือ AI อย่างมีความรับผิดชอบ ต้องมีการวางแผนและออกแบบโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการใช้งานโดยเฉพาะ รวมไปถึงต้องมีการทดสอบที่แม่นยำ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าในกรณีของมัสก์เขาได้ดำเนินการในส่วนนี้แล้วหรือไม่ เขากล่าวด้วยว่า ยิ่งมัสก์ใช้ AI เพื่อตัดสินใจว่าใครควรถูกเลิกจ้างออกจากงาน เขายิ่งรู้สึกสงสัยกับแนวทาง ใช้งาน AI ของมัสก์มากขึ้นไปอีก เพราะมีความเป็นไปได้ที่การตัดสินใจของ AI จะผิดพลาดและอาจส่งผลกระทบด้านอื่น ๆ ตามมา

สรุปข่าว
นอกจากนี้ โคเกลียเนส ได้ยกตัวอย่างเนเธอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร ที่เกิดความผิดพลาดกับ AI เมื่อรัฐบาลนำมาใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ AI เกิดอคติในการประมวลผลเกี่ยวกับผลประโยชน์ด้านสวัสดิการของผู้อยู่อาศัยผิดพลาดจนมีประชาชนได้รับผลกระทบ
ขณะที่ โชบิตะ พาร์ตาชาราธี (Shobita Parthasarathy) ศาสตราจารย์ด้านนโยบายสาธารณะจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนกล่าวว่า แผนของมัสก์เป็นความคิดที่แย่มาก เพราะเราไม่มีทางรู้ทุกอย่างว่า AI จะตัดสินใจอย่างไร ยกเว้นว่า AI นั้นได้รับการฝึกฝนมาแล้วพร้อมกับมีอัลกอริธึมพื้นฐาน ข้อมูลการตัดสินใจของ AI ต้องมีการอ้างอิงและสามารถตอบคำถามได้ว่าทำไมเราจึงควรเชื่อมัน หรืออะไรที่ทำให้ AI นี้ดูน่าเชื่อถือเมื่อมันเข้ามามีบทบาทในการบริหารประเทศ
ส่วน ฮิลเก เชลมันน์ (Hilke Schellmann) ศาสตราจารย์ด้านสื่อมวลชนจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่ารัฐบาลของทรัมป์ดูสนใจเกี่ยวกับ AI มากเป็นพิเศษ และเขาจะทำทุกวิถีทางที่จะนำมันมาใช้ให้ได้ แต่ความเสี่ยงคืออาจมีอันตรายมากมายที่ AI ไม่สามารถตรวจพบเมื่อนำมาใช้อย่างไม่ถูกหลักการ เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อีกหลายคนที่เห็นด้วยว่าการใช้ AI ของรัฐบาลอาจผิดพลาดได้จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมจึงต้องนํามาใช้อย่างรอบคอบและใช้อย่างมีสติ
อัลจาซีรารายงานว่าความกังวลของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับ อีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะเริ่มมีหน่วยงานของรัฐนำ AI ไปใช้ในการดำเนินงานของพวกเขาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่กำลังวางแผนนำ AI มาสแกนบัญชีโซเชียลมีเดียของชาวต่างชาติที่อาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในสหรัฐฯ และหากพบว่าใครที่เป็นผู้สนับสนุนฮามาสก็จะถูกถอนวีซ่าทันที แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลว่าระบบ AI นี้มีกลไกทำงานอย่างไร
อัลจาซีเรียระบุด้วยว่า อีกหนึ่งความน่ากังวลและควรระลึกเสมอคือ "AI ไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งบนโลก” ซึ่งปัญหานี้อาจเกิดขึ้นเมื่อนำ AI มาใช้แทนที่พนักงานของรัฐบาลกลาง เพราะงานของหน่วยงานหลายแห่งต้องใช้ทักษะและความรู้เฉพาะด้าน โดยได้ยกตัวอย่าง คนในตำแหน่ง IT ของกระทรวงยุติธรรมก็อาจมีงานที่แตกต่างจาก คนทำ IT ในกระทรวงเกษตรมาก แม้ว่าพวกเขาจะมีตําแหน่งงานเดียวกันก็ตาม ดังนั้น AI ต้องสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้และถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ก่อนจะเข้ามารับผิดชอบงานในส่วนที่มีความยากปานกลางแทนพนักงานที่เป็นมนุษย์

ฑิตยา เที่ยงกมล