กระทรวงคมนาคมของเกาหลีใต้ระบุว่า ทางกระทรวงจะเผยแพร่รายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินของสายการบินเจจูแอร์ ซึ่งเกิดอุบัติเหตุไถลรันเวย์ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา ภายในวันจันทร์ที่ 27 มกราคมนี้ โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 179 คน ถือเป็นอุบัติเหตุทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่อยู่ระหว่างการสอบสวนคือบทบาทของการชนกับนก (bird strike) ที่อาจมีส่วนทำให้เกิดเหตุการณ์เครื่องบินตกดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นขณะเครื่องบินเที่ยวบินที่ 7C2216 ที่เดินทางจากกรุงเทพมหานคร ประเทศไทยและกำลังจะลงจอดที่สนามบินนานาชาติมูอัน เกาหลีใต้
รายงานดังกล่าวจะถูกส่งให้กับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) รวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และไทยด้วย กระทรวงยังกล่าวอีกว่า เกาหลีใต้ได้ร่วมมือกับผู้สอบสวนจากสำนักงานความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ และสำนักงานสอบสวนและวิเคราะห์ความปลอดภัยทางการบินของฝรั่งเศส
สรุปข่าว
การวิเคราะห์ข้อมูลเที่ยวบินและการบันทึกเสียงในห้องนักบิน ซึ่งหยุดการบันทึกเมื่อ 4 นาที 7 วินาทีก่อนเกิดเหตุ จะใช้เวลาในการตรวจสอบและยืนยันหลายเดือน รวมถึงการตรวจสอบบันทึกการสื่อสารกับหอควบคุมการจราจรทางอากาศ
เมื่อเวลา 08.58.11 น. นักบินได้พูดถึงฝูงนกที่บินอยู่ใต้เครื่องบินโบอิง 737-800 ก่อนที่จะประกาศสัญญาณภัย (mayday) เมื่อเวลา 08.58.56 น. ระบุว่าเกิดการชนกับนกขณะเครื่องบินกำลังทำการบินกลับ (go-around)
ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงเผยว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดของสนามบินเผยให้เห็นว่าเครื่องบินได้ชนกับนกขณะกำลังทำการบินกลับ ซึ่งนักบินได้ออกสัญญาณเตือนภัยจากการชนกับนก ก่อนที่จะทำการบินกลับ
เครื่องบินดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุในเวลา 09.02 น. ทำให้ผู้โดยสารทั้งหมดเสียชีวิต ยกเว้นลูกเรือสองคนที่อยู่ในส่วนท้ายของเครื่องบิน
แม้ว่าภาพจากกล้องวงจรปิดจะถ่ายจากระยะไกลเกินไปจนไม่สามารถเห็นการเกิดประกายไฟจากการชนกับนกได้ แต่ก็สามารถยืนยันได้ว่าเครื่องบินได้ชนกับนก แม้ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้
นอกจากนี้ กระทรวงระบุว่า ยังพบขนนกและเลือดในเครื่องยนต์ของเครื่องบินทั้งสองตัวที่ผลิตโดย GE Aerospace ซึ่งทางกระทรวงจะดำเนินการวิเคราะห์แยกต่างหากเกี่ยวกับบทบาทของกำแพงรั้วที่รองรับเสาอากาศนำทางที่เรียกว่า ‘โลคัลไลเซอร์’ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาจทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวรุนแรงขึ้น
ที่มาข้อมูล : Koreatimes
ที่มารูปภาพ : Reuters