"ภาษีทรัมป์" กระแทกค่ายรถญี่ปุ่น วิกฤตระดับชาติ

จับตาวิกฤตค่ายรถญี่ปุ่น ที่กระทบหนักจากการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ

นอกจากการขึ้นภาษีตอบโต้ สำหรับการนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นในอัตรา 24 % 

ยังมีตัวของภาษีนำเข้ารถยนต์ทุกชนิดที่ขึ้นภาษีมากถึง 25  % 

สำหรับรถทุกคันที่นำเข้ามาในประเทศ รวมไปถึงส่วนประกอบสำคัญต่างๆด้วย 

เพราะการส่งออกรถยนต์เป็นรายได้หลักของญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนถึง 1  % ของจีดีพี

วันนี้ญี่ปุ่นจึงเสี่ยงกับภาวะ "เศรษฐกิจถดถอย" ได้หากแก้ไขอะไรไม่ทัน 


ขณะที่นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้กล่าวว่าการจัดเก็บภาษีของทรัมป์ที่มีต่อญีปุ่นนั้น คือ "วิกฤตระดับชาติ" 

และรัฐบาลกำลังร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อดำเนินมาตรการรับมืออย่างดีที่สุด

เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เน้นการส่งออก ครองตำแหน่งนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019 


ด้านสำนักข่าว CNBC รายงานเรื่องนี้ระบุว่า การประกาศ ภาษีนำเข้ารถยนต์ ล่าสุดของสหรัฐ 

ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ 

โดยเฉพาะค่ายรถจากเอเชียที่ต้องเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก


ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25% 

สำหรับรถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐ ส่งผลให้หุ้นของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกร่วงทันที


เช่น หุ้น Toyota ร่วงลง 9.4% ภายใน 3 วันหลังจากการประกาศ 

ขณะที่หุ้น Nissan ลดลง 9.3% และหุ้น Hyundai จากเกาหลีใต้ ลดลงถึง 11.2%


ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทวิจัย Frost & Sullivan คาดว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง 

โดยเฉพาะ Toyota ซึ่งเป็นค่ายที่มียอดขายในตลาดสหรัฐสูงที่สุด 

จึงหมายความว่าจะมีผลกระทบมากที่สุดเช่นกัน จากมาตรการภาษีใหม่ครั้งนี้




สรุปข่าว

วิกฤตค่ายรถญี่ปุ่น กระทบหนักจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศเดินหน้าขึ้นภาษีถึง 25 % สำหรับรถทุกคันที่นำเข้ามาในประเทศ รวมไปถึงส่วนประกอบสำคัญต่างๆด้วย ผู้นำญี่ปุ่นต้องเร่งหาทางเจรจาและทางออกให้เร็วที่สุด เพราะการส่งออกรถยนต์เป็นรายได้หลักของญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนถึง 1 % ของจีดีพี วันนี้ญี่ปุ่นจึงเสี่ยงกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้หากแก้ไขอะไรไม่ทัน

จากข้อมูลของ Carpro แพลตฟอร์มซื้อขายรถยนต์ในสหรัฐ ในปี 2567 

ผู้ผลิตรถยนต์จากเอเชียครอง 6 อันดับ จาก 8 อันดับแรกของยอดขายในตลาดสหรัฐ 

 Toyota ครองอันดับ 1 ด้วยยอดขาย 1.98 ล้านคัน 

แซงหน้าแบรนด์อเมริกันอย่าง Ford และ Chevrolet 


อันดับแบรนด์เอเชียในตลาดสหรัฐ ปี 2567 ได้แก่

อันดับ 1 Toyota

อันดับ 4 Honda (ญี่ปุ่น)

อันดับ 5 Nissan (ญี่ปุ่น)

อันดับ 6 และ 7 Hyundai และ Kia (เกาหลีใต้)

อันดับ 8 Subaru (ญี่ปุ่น)


จากรายงานทางการเงินล่าสุดของบริษัทเหล่านี้ พบว่ารายได้ส่วนใหญ่มาจากตลาดอเมริกาเหนือ 

ดังนั้นการหาตลาดทดแทนหรือหารายได้มาชดเชยย่อมไม่ง่ายอย่างที่คิด 


โจทย์ใหญ่ โจทย์ยาก และต้องหาทางแก้ให้เร็วที่สุด

ก่อนที่เศรษฐกิจจะพังทลาย 

นายกฯของญี่ปุ่นหวังเต็มที่ว่าจะหาทางเจรจาต่อรองกับสหรัฐให้ได้

เพราะการย้ายโรงงานไปสหรัฐก็ไม่คุ้มค่ากับการแลก 


 ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ออกมายืนยันว่า

จะทำทุกวิถีทางเพื่อเจรจาต่อรองให้สหรัฐฯ ยกเว้นการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น

หลังจากรู้ข่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี 25% กับรถยนต์ที่ผลิตในต่างประเทศ 

ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 

และทรัมป์คาดว่าจะทำให้รัฐบาลสหรัฐมีรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้น มากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


โดยอัตราภาษีศุลกากรใหม่จะถูกเรียกเก็บเพิ่มเติมจากภาษีที่มีอยู่แล้ว เป็น 27.5% และ 50% ตามลำดับ 

จากอัตราภาษีปัจจุบันที่ 2.5% สำหรับรถยนต์โดย และ 25% สำหรับรถกระบะ

นอกจากนี้การขึ้นภาษีดังกล่าว ยังรวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง 


อย่างไรก็ตาม ผู้นำเข้ารถยนต์ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี “USMCA” ซึ่งสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดาลงนามร่วมกัน 

จะได้รับโอกาสในการรับรองว่าชิ้นส่วนใดผลิตในสหรัฐฯ 

เพื่อให้มั่นใจว่าการเรียกเก็บภาษี 25% นั้นจะถูกใช้กับชิ้นส่วนที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ เท่านั้น 

ดังนั้นจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดจากรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ 

ชิ้นส่วนรถยนต์ที่อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA จะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากร


ด้านค่ายผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นออกแถลงการณ์หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้า 

โดยบริษัทโตโยต้า ซูบารุ มาสด้า และฮอนด้า ระบุว่าพวกเขากำลังประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น



ส่วนความเห็นในเรื่องนี้จากนักเศรษฐศาสตร์ มองว่าญี่ปุ่นจะหาทางเจรจาต่อรองจากสินค้าทุกกลุ่มที่ทำได้

และไม่ใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐ เพราะได้ประโยชน์น้อย 

 

โคอิจิ ฟูจิชิโร (Koichi Fujishiro) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่งสถาบันวิจัย Dai-ichi Life 

ให้ความเห็นว่า ในบรรดาตัวเลือกที่ญี่ปุ่นน่าจะใช้เป็นข้อต่อรองในการเจรจาภาษีรถยนต์กับสหรัฐฯ 

อาจมีทั้งการจำกัดการส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นโดยสมัครใจ, การเพิ่มการนำเข้าสินค้า

 เช่น ก๊าซธรรมชาติ ธัญพืชและเนื้อสัตว์ โดยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ แทนรัสเซีย

 ข้อมูลล่าสุดในปี 2023 ญี่ปุ่นนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย 8.9% มากกว่าสหรัฐฯ ที่ 7.2% 


รถยนต์เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น

และที่ผ่านมาก็ส่งออกไปยังสหรัฐมากที่สุด

มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

คิดแล้วเป็นสัดส่วนมากถึง 28  % การส่งออกทั้งหมดของประเทศ

และมูลค่าคิดเป็น 1  % ของจีดีพี

รถยนต์เป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นส่งออกไปสหรัฐฯ มากที่สุด

โดยมีมูลค่ารวม 6 ล้านล้านเยน (4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 

และคิดเป็น 28% ของการส่งออกทั้งหมดของญี่ปุ่นในปี 2024 

ซึ่งมูลค่าดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในป ระเทศของญี่ปุ่น


ทาคาฮิเดะ คิอูจิ (Takahide Kiuchi) จากสถาบันวิจัยโนมูระ ประเมินว่าภาษี 25% 

จะทำให้การส่งออกรถยนต์ญี่ปุ่นไปยังสหรัฐฯ ลดลง 15% ถึง 20% ส่งผลให้ GDP ของญี่ปุ่นลดลง 0.2%

และหากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นพยายามรับมือมาตรการขึ้นภาษี ด้วยการย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ 

จะทำให้การจ้างงานภายในประเทศลดลงและส่งผลให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นถดถอยในระยะยาว


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกหันมาผลิตในประเทศมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการค้า 

ดังนั้น รถยนต์ญี่ปุ่น 60% ที่ขายในสหรัฐอเมริกาจึงผลิตในสหรัฐอเมริกา 


ค่ายรถญี่ปุ่น ภายใต้เงา ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จะเป็นอย่างไรต่อไป

ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง หรือ สิ่งที่ญี่ปุ่นต้องนำไปแลก 

เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างหนัก เช่นเดียวกับทั่วโลกตอนนี้ที่ต่างก็รับผลกระทบอย่างหนัก

จากนโยบายของทรัมป์ ทั้งทางตรง และทางอ้อม 


ที่มาข้อมูล : CNBC / Nikkei Asia /Reuters

ที่มารูปภาพ : TNN

avatar

ทิฆัมพร อยู่กำเหนิด