SET ก.พ.ดิ่ง 8.4% รวมทั้งปีติดลบ 14% 5 Sector แข็งกว่าตลาด แนวโน้มเศรษฐกิจ-สงครามการค้ากดดัน

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเดินหน้าเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 20% แคนาดา และเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. 2568 โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariffs กับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 2568

นอกจากนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเงินเฟ้อในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ผู้ลงทุนสหรัฐฯเพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดสะท้อนภาวะตลาดเข้าสู่ภาวะ Risk Off ขณะที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงจากสิ้นปีก่อนหน้าถึง 1.4% หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายตลาดหุ้นที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มีความเสี่ยงน้อยจากนโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงมีปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นเฉพาะตัว และมี Valuation ที่ไม่สูง

SET ก.พ.ดิ่ง 8.4% รวมทั้งปีติดลบ 14% 5 Sector แข็งกว่าตลาด แนวโน้มเศรษฐกิจ-สงครามการค้ากดดัน

สรุปข่าว

โดยการปรับฐานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในรอบนี้ หุ้นที่ปรับตัวลดลงมากส่วนใหญ่มาจากกลุ่มหุ้นที่มี P/E Ratio สูง ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดกำลังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง และการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 SET Index อยู่ในช่วงปรับฐานซึ่งลดลงกว่า 17.9% จากระดับสูงสุดในรอบนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับแนวโน้มในอดีต และหากพิจารณามูลค่า พื้นฐานของตลาดพบว่าระดับ P/E อยู่ที่ 12.5-16.6 เท่า และ P/BV เพียง 1.2-1.4 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรอบการปรับฐานครั้งก่อนๆอย่างมีนัยสำคัญ

โดยการปรับฐานของตลาดในรอบนี้หุ้นที่ปรับตัวลดลงมากส่วนใหญ่มาจากกลุ่มหุ้นที่มี P/E Ratio สูง ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดกำลังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง และการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนพยายามออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของ SET Index โดยเน้นด้านการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง การจำกัดความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงมีปัจจัยขับเคลื่อน ตลาดหุ้นโดยเฉพาะการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ และส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของ บจ. และยกระดับ CG

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2568

ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 SET Index ปิดที่ 1,203.72 จุด ลดลง 8.4% จากสิ้นเดือนมกราคม 2568 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 SET Index ปรับลดลง 14.0%

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ และกลุ่มทรัพยากร

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 52,041 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเห็นสัญญาณเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด 5 เดือนต่อเนื่อง

บริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง หรือ MOTHER

Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ระดับ 12.6 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.3 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.2 เท่า

อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ระดับ 4.03% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.27%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX เดือนกุมภาพันธ์ 2568

ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 485,359 สัญญา เพิ่มขึ้น 24.0% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 434,992 สัญญา ลดลง 10.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Gold Online Futures

ที่มาข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ที่มารูปภาพ : TNN

avatar

มงคล เกษตรเวทิน