
ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามระบุว่า ในช่วงเดือนม.ค.และก.พ. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 4 ล้านคนเยี่ยมชมประเทศ เพิ่มขึ้น 30.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุถึงปัจจัยหลักสู่ความสำเร็จว่าประกอบด้วย เที่ยวบินตรงครั้งแรกระหว่างสหรัฐและเวียดนามเริ่มในปี 2021, นโยบายวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ในปี 2023 ที่อนุญาตให้พักได้นานถึง 90 วัน (เพิ่มขึ้นจากเดิมสามเท่า), การยกเว้นวีซ่าสำหรับพลเมืองจากหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลีใต้ และสเปน

สรุปข่าว
การเปิดโรงแรมใหม่จากแบรนด์ชั้นนำ เช่น รีเจนท์ ฟูก๊วก, คาเพลล่า ฮานอย และเจดับบลิว แมริออท โฮเทล แอนด์ สวีทส์ ไซง่อน เป็นต้น รวมไปถึง การขยายตัวของ "มิชลินไกด์" ในปี 2024 ช่วยยกระดับฉากอาหารของเวียดนามสู่แพลตฟอร์มระดับโลก
ด้านไมค์ เหงียน ผู้ก่อตั้งบริษัทท่องเที่ยวระดับหรู Ansova Travel ในโฮจิมินห์ รายงานว่าธุรกิจของเขาเติบโตขึ้น 25% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาด และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 20% ถึง 30% ในปี 2025
กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ นักท่องเที่ยวอินเดีย เพิ่มขึ้น 297% จากระดับก่อนการระบาด โดยเฉพาะสำหรับงานแต่งงานหรูหราที่ฟูก๊วกและฮาลอง, นักท่องเที่ยวจีน ได้รับแรงจูงใจจากปัจจัยด้านความปลอดภัยเมื่อเทียบกับจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาค
และนักท่องเที่ยวระดับหรู ผู้ที่เคยเดินทางไปเกาะสมุยและภูเก็ตของไทยแล้ว หรือกำลังมองหาทางเลือกที่ไม่แออัดแทนญี่ปุ่นและสิงคโปร์
สำหรับมุมมองในอนาคต บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า เวียดนามมีแผนการที่ทะเยอทะยานสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยตั้งเป้ารับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 23 ล้านคนภายในสิ้นปี 2025, ท่าอากาศยานนานาชาติ "ลองแถ่ง" แห่งใหม่คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมี.ค. 2026 ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวเป็น 25 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม เวียดนามมีเป้าหมายที่จะแซงหน้ามาเลเซีย และมีไทยเป็นคู่แข่งเพียงรายเดียวในรายชื่อประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่มาข้อมูล : สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
ที่มารูปภาพ : TNN

นันท์ชยา ชื่นวรสกุล