ตัวเลขที่เผยแพร่ในเดือน ก.พ. ระบุว่าเวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ ที่ 123,000 ล้านดอลลาร์ เวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 4 ในปี 2567 เป็นรองเพียงแค่จีน สหภาพยุโรป และเม็กซิโก ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังเผชิญกับภาษีนำเข้าสินค้าที่พวกเขาส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลทรัมป์
“นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่ารัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญกับการสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อกิจกรรมของนักลงทุนและนักธุรกิจสหรัฐฯ ในเวียดนาม โดยยืนยันว่าเวียดนามประสงค์ที่จะสร้างความสัมพันธ์ความร่วมมือทางการลงทุน การค้า และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน สมดุล และมั่นคงกับสหรัฐฯ” รัฐบาลเวียดนามระบุในรายงานการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและมาร์ค แนปเปอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงฮานอย
สรุปข่าว
นายกฯ จีง ได้ขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในการสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้เวียดนามนำเข้าอุปกรณ์ไฮเทคจากสหรัฐฯ และระบุว่าเวียดนามกำลังทบทวนภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สนับสนุนส่งเสริมการนำเข้าผลิตภัณฑ์สำคัญของสหรัฐฯ ที่เวียดนามต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ก๊าซเหลว และผลิตภัณฑ์ไฮเทค
เวียดนามและสหรัฐฯ ได้ยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่ระดับสูงสุดของการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม ในเดือน ก.ย.2566 โดยส่วนหนึ่งของข้อตกลง สหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุน 2 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเวียดนาม
แม้ว่าการตัดลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อาจช่วยให้เวียดนามสามารถหลีกเลี่ยงภาษีกับการส่งออกของประเทศอย่างที่จีนเผชิญ ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 20% แต่ก็ไม่สามารถเลี่ยงได้ทั้งหมด โดยเมื่อวันพุธ ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้กำหนดภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ ที่ 25% โดยสหรัฐฯ นั้นเป็นตลาดส่งออกเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของเวียดนาม.

Chakorn Nhukongmai
(Chakorn Nhukongmai)