บลูมเบิร์ก รายงานว่า โรงถลุงอะลูมิเนียมในจีน ซึ่งเป็นโรงผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่สุดของโลกจะมีผลกำไรฟื้นตัวอย่างมาก หลังต้นทุนวัตถุดิบสำคัญอย่างอะลูมินา หรืออะลูมิเนียมออกไซด์จะต่ำลงอย่างมาก
ทั้งนี้ โอกาสทางเศรษฐกิจอันแสนเรืองรองทำให้บริษัทจีนอย่างอะลูมิเนียม คอร์ป. ออฟ ไชน่า และไชน่า หงเฉียว กรุ๊ปสามารถผ่อนคลายได้บ้างจากภัยคุกคามด้านกำแพงภาษีที่กำลังปกคลุมไปทั่วบรรยากาศการค้าโลก
หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศขึ้นอัตราภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้ากับทุกประเทศทั่วโลก 25% เว้นแต่เพียงออสเตรเลียเท่านั้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 12 มีนาคม 2025 สร้างความกังวลอย่างมากว่าเหล็กจีนอาจไหลทะลักท่วมตลาดโลก ขณะที่ฝั่งรัฐบาลจีนได้ยกเลิกมาตรการคืนภาษี สินค้าส่งออกแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกมีกำไรลดลงกว่าเดิม
สรุปข่าว
หลังจากที่ราคาอะลูมินาเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในปี 2024 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5,770 หยวนต่อตัน (ราว 27,000 บาท) บัดนี้ร่วงลงหลังกำลังการผลิตทั่วโลกกลับมาดำเนินงานอีกครั้งหนึ่ง ทั้งในจาเมกา กินี ออสเตรเลีย และจีน
จาง เหมิง นักวิเคราะห์จากเอซี ไชน่า กล่าวว่า ราคาอะลูมินาในตลาดอาจร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 3,000 หยวนต่อตัน (ราว 14,000 บาท) ในปีนี้ จากที่เคยเพิ่มสูงจนแตะนิวไฮ ซึ่งอาจกลับมาสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สิ้นปี 2023
จากการวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ พบว่าโรงถลุงโลหะในจีนต้องขาดทุน 900 หยวน (ราว 4,200 บาท) ต่ออะลูมิเนียมแต่ละตันที่ผลิตได้ในเดือนธันวาคม 2024 เนื่องจากต้นทุนอะลูมินาสูงเกินกว่าครึ่งของต้นทุนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นกลับมาอยู่ที่ 4,000 หยวน (ราว 18,600 บาท) ต่อตันแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
มิเชลล์ เหลียง นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กระบุว่า กำลังการผลิตอะลูมินาจีนที่เพิ่มขึ้นราว 13.2 ล้านตันจะช่วยผลักให้ตลาดมีอุปทานอะลูมินาเกินดุล และราคาอะลูมินาต่ำลงในที่สุด
ปัจจุบันอุปสงค์อะลูมิเนียมยังคงแข็งแรง ขับเคลื่อนโดยภาคยานยนต์และอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ขณะที่จีนมีข้อกำหนดด้านการผลิตที่ 45 ล้านตัน ทำให้ราคาอะลูมินาไม่ลดลงมากนัก
ที่มาข้อมูล : บลูมเบิร์ก
ที่มารูปภาพ : TNN