โทเบียส เมเยอร์ ซีอีโอของ DHL บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ในการสัมภาษณ์ ว่าการเลิกจ้างพนักงานซึ่งคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 1 ของพนักงานทั้งหมด จะเกิดขึ้นในแผนกโพสต์แอนด์พาร์เซล หรือ P&P ในเยอรมนี ซึ่งไม่ใช่การเลิกจ้างโดยบังคับ โดยบริษัทไม่มีแผนที่จะแยกธุรกิจ P&P ออกจากกัน แม้ว่าจะต้องดิ้นรนกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นและปริมาณพัสดุที่ลดลงมาหลายปีแล้ว ตามคำอธิบายของเมเยอร์ ระบุแนวทางค่าขนส่งฉบับใหม่ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลเครือข่ายของเยอรมนี ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้
เมเยอร์ ยังได้อ้างถึงข้อตกลงค่าจ้างล่าสุดกับสหภาพแรงงานแวร์ดี ซึ่งรวมถึงการขึ้นค่าจ้างร้อยละ 5 และวันหยุดเพิ่มเติมว่า เป็นเหตุผลในการเลิกจ้างพนักงาน เพราะข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ DHL สูญเสียเงินประมาณ 360 ล้านยูโร ภายในสิ้นปี 2026 แต่ เมลานี ไครส์ ซีเอฟโอของ DHL เปิดเผยว่า บริษัทไม่คิดว่าจะเกิดความขัดแย้งกับสหภาพแรงงานแวร์ดี
สรุปข่าว
ด้าน พาราช เจน หัวหน้าฝ่ายวิจัยการขนส่งและโลจิสติกส์ระดับโลกของ HSBC เปิดเผยว่า บริษัทโลจิสติกส์รายนี้ มีแนวโน้มที่จะเห็นการเติบโตของกำไรที่ช้าลงในปีนี้ เนื่องจากผลตอบแทนที่กลับสู่ภาวะปกติ ความต้องการที่ลดลง และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่คลี่คลาย
เจน คาดว่าบริษัทโลจิสติกส์จะลดต้นทุน เนื่องจากการเติบโตของการค้าตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลกและการขนส่งทางอากาศที่คาดว่าจะลดลงครึ่งหนึ่งในปี 2025
ขณะที่สหภาพแรงงานแวร์ดี วิจารณ์แผนการเลิกจ้างพนักงานและเรียกร้องให้นักการเมืองเข้าจัดการ โดยปฏิเสธว่าข้อตกลงเรื่องค่าจ้างเมื่อวันที่ 4 มีนาคมเป็นสาเหตุของการเลิกจ้าง แต่โทษกฎระเบียบและการขึ้นราคาค่าขนส่งที่ไม่มากพอ ซึ่งหุ้น DHL มีผลงานต่ำกว่าภาคส่วนโลจิสติกส์โดยรวมในช่วงปีที่ผ่านมา โดยลดลงเกือบร้อยละ 11 ในวันอังคาร
DHL ทำกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีในปี 2024 อยู่ที่ 5,890 ล้านยูโร สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5,810 ล้านยูโรตามฉันทามติของบริษัท
สำหรับปี 2025 กลุ่มบริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 6 พันล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6,290 ล้านยูโร การคาดการณ์นี้ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษีการค้าหรือศุลกากร
DHL ยังคงดำเนินนโยบายการจ่ายปันผลแก่ผู้ลงทุน โดยเสนอเงินปันผลคงที่ 1.85 ยูโรต่อหุ้นในปี 2024 และเพิ่มโปรแกรมซื้อคืนหุ้นที่เปิดตัวในปี 2022 ขึ้น 2 พันล้านยูโรเป็นสูงสุด 6 พันล้านยูโร และขยายออกไปจนถึงปี 2026