Estee Lauder (เอสเต ลอเดอร์) แบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติอเมริกัน ประกาศขยายแผนการปรับโครงสร้างองค์กรภายใต้การนำของซีอีโอคนใหม่ โดยแผนดังกล่าวจะรวมถึงการปลดพนักงานสูงสุดถึง 7,000 ตำแหน่ง พร้อมคาดการณ์ว่ากำไรในไตรมาสที่ 3 จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยให้เหตุผลว่าความต้องการสินค้ายังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย
ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงประมาณร้อยละ 10 ในการซื้อขายช่วงเช้าเมื่อวานนี้ เนื่องจากบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่รายนี้เผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกในกลุ่มนักท่องเที่ยวในเอเชีย โดยเฉพาะที่สนามบินและจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเกาหลีใต้และจีน
สรุปข่าว
สเตฟาน เดอ ลา เฟเวอรี ซีอีโอของ เอสเต ลอเดอร์ ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ว่า ไตรมาส 3 บริษัทคาดว่าแนวโน้มการค้าปลีกโดยรวมที่อ่อนแอจะยังคงดำเนินต่อไปในการค้าปลีก การท่องเที่ยวในเอเชีย ที่กดดันยอดขายอย่างมาก
Estee Lauder เผชิญกับความยากลำบากในการกระตุ้นการเติบโตของยอดขายในจีน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของยอดขายทั้งหมดของบริษัทในปี 2024 สาเหตุหลักมาจากอัตราการว่างงานที่สูง เศรษฐกิจที่ซบเซา และความนิยมที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์ท้องถิ่น
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทแม่ของ Clinique และ MAC ได้ถอนการคาดการณ์ผลประกอบการทั้งปีออก เพื่อวางแผนการฟื้นฟูกิจการใหม่ หลังต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลงติดต่อกันหลายไตรมาส
เดอ ลา เฟเวอรี กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์การฟื้นฟูบริษัทจะเน้นไปที่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรูหราระดับใหม่ การเพิ่มการลงทุนในกิจกรรมที่มุ่งเน้นผู้บริโภค และการปรับโครงสร้างองค์กรให้เรียบง่ายขึ้น
แถลงการณ์นี้มีขึ้นในขณะที่จีนประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบเฉพาะเจาะจงกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่ประกาศใช้โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ
บริษัทคาดว่าจะมีการลดจำนวนพนักงานสุทธิประมาณ 5,800 ถึง 7,000 ตำแหน่งภายในสิ้นปีงบประมาณ 2026 โดยการปลดพนักงานในครั้งนี้เป็นการขยายแผนเดิมที่ประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทเคยระบุว่าจะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลงประมาณร้อยละ 5