"แจ็ค หม่า" ชี้ AI เปลี่ยนอนาคตเหนือจินตนาการ l การตลาดเงินล้าน

สรุปข่าว

สื่อต่างประเทศ รายงานว่า แจ็ค หม่า กล่าวสุนทรพจน์พิเศษ ในวาระครบรอบ 20 ปี ของ แอนต์ กรุ๊ป และทำนายถึงอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย เอไอ ถือเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณชนครั้งแรก นับตั้งแต่ถูกทางการจีนระงับการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ ไอพีโอ ของบริษัท แอนต์ กรุ๊ป เมื่อปี 2563 หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

โดย แจ็ค หม่า เป็นผู้ก่อตั้ง อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง และ แอนต์ กรุ๊ป เป็นบริษัทฟินเทคในเครือ ที่บริหารแอปชำระเงินรายใหญ่อย่าง อาลีเพย์ (Alipay) โดยกล่าวว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ยังมีความเชื่อมั่นต่อ แอนต์ และคาดหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ที่มากกว่านี้

และบอกว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มต้น คนรุ่นของตนโชคดีที่คว้าโอกาสที่อินเทอร์เน็ตมอบให้ แต่เวลานี้ คิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเกิดจากปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ และจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เหนือจินตนาการของทุกคน เพราะ เอไอ จะนำพามาซึ่งยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่า

แต่แม้ว่า เอไอ จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถกำหนดทุกอย่างได้ และแม้ว่าเทคโนโลยีจะมีความสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลว อยู่ที่ตัวเรา ว่าจะสามารถสร้างสิ่งที่มีคุณค่า และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริงในยุคหน้าได้หรือไม่ 

รายงานข่าวระบุว่า หม่า แสดงความยินดีกับความสำเร็จของ แอนต์ กรุ๊ป ซึ่งแม้ว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่งในองค์กรทั้งหมดแล้ว และทำตัว เงียบ ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เขายังคงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของอาณาจักรธุรกิจที่เขาสร้างขึ้น และเป็นแบบอย่างของภาคเอกชนของจีน

หม่า ในวัย 60 ปี กล่าวด้วยว่า รู้สึกขอบคุณสำหรับประสบการณ์ และความท้าทายที่ แอนต์ ต้องเผชิญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งกำลังใจและคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ช่วยให้บริษัทฯ เติบโตและเป็นผูู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งยังเชื่อมั่นว่า บริษัทฯ จะยังคงใช้เทคโนโลยีต่อไปเพื่อนำความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลง มาสู่ชีวิตของผู้คนในอีก 2 ทศวรรษข้างหน้านี้

ทั้งนี้ ทางการจีนได้ระงับการเสนอขายหุ้น ไอพีโอ ของ แอนต์ กรุ๊ป กระทันหันเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 และสั่งให้มีการปฏิรูปรูปแบบการดำเนินธุรกิจครั้งใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบทางการเงิน ซึ่งก่อนหน้านั้น ได้มีการประเมินมูลค่าของบริษัทฯ ไว้สูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมากกว่า 10 ล้านล้านบาท โดยขณะนั้น อาลีบาบา ถือหุ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 33 

นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แอนต์ ปรับโครงสร้างหน่วยงานใหม่ และคาดหวังว่าจะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และเอไอ เพื่อฟื้นการเติบโตของกำไรที่ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามของทางการ ในช่วงที่ผ่านมา

โดยบริษัทฯ กำลังขยายธุรกิจด้วยผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วย เอไอ ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการกินอาหาร, บริการเรียกรถโดยสาร บริการบันเทิง การดูแลสุขภาพและการเงิน ซึ่งมีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่อชีวิตประจำวันของชาวจีน และผลประกอบการไตรมาสที่สิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ยังสามารถพลิกกลับจากหดตัวลงตลอดทั้งปี มาเป็นการเติบโตสูงขึ้นเกือบ 200% (193%)

นอกจากนี้ แอนต์ ยังได้ขยายธุรกิจทั่วโลกผ่าน แอนต์ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งกำลังเสริมความแข็งแกร่งให้กับเสาหลักทั้ง 4 ของการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ได้แก่ Alipay+ (อาลีเพย์ พลัส), Antom (อันตอม), WorldFirst (เวิลด์เฟิร์สต์) และ Embedded Finance (เอ็มเบดเด็ด ไฟแนนซ์) และในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ยังได้จัดตั้งคณะกรรมการอิสระสำหรับหน่วยงานระหว่างประเทศ ฐานข้อมูล และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อปูทางสำหรับการแยกธุรกิจออกจากกันในอนาคต อีกด้วย 

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจของจีน ได้นำ เอไอ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตกันมากขึ้น ซึ่งนอกจากบริษัท ฟินเทค อย่าง แอนต์ กรุ๊ป แล้ว ในภาคค้าปลีกออนไลน์เอง ผู้ค้าก็มีการนำ เอไอ เข้ามากระตุ้นการเติบโตของยอดขายกันมากขึ้น

โดย Bain & Company เผยรายงาน เมื่อปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ระบุว่า ผู้ค้าปลีกในจีนกำลังลงทุนใน เจเนอเรทีฟ เอไอ เพื่อกระตุ้นยอดขาย กันมากขึ้น 

รายงานระบุว่า ตั้งแต่ปี 2566 บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ อย่าง อาลีบาบา และ เจดี ดอท คอม ได้เพิ่มการลงทุนอย่างมากในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดยมีการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องกับ เอไอ มากถึงร้อยละ 40 และร้อยละ 50 ตามลำดับ ซึ่งการลงทุนนี้ เกิดขึ้นในท่ามกลางภาคการค้าปลีกชะลอตัว และกิจกรรมอย่างวันคนโสดก็ไม่คึกคักเหมือนเดิม

จากการสำรวจผู้ค้ากว่า 500 ราย ที่ซื้อขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน ก็พบว่ากำลังนำ เอไอ เข้ามาปรับใช้กันมากขึ้น โดยสัดส่วนร้อยละ 52 ของผู้เข้าร่วมการสำรวจ ตอบว่า เคยใช้เครื่องมือที่เปิดใช้งาน เจน เอไอ อย่างน้อยหนึ่งเครื่องมือ และสัดส่วนมากกว่าครึ่ง เปิดใช้เครื่องมือแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วย เอไอ สำหรับบริการลูกค้า และอีกประมาณสัดส่วน 1 ใน 3 ใช้ เอไอเพื่อสร้างคอนเทนต์ 

ที่สำคัญ สัดส่วนร้อยละ 56 ของผู้ค้าออนไลน์ที่ตอบแบบสำรวจ ระบุว่าเครื่องมือ เอไอ มีผลกระทบเชิงบวกสูงต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และร้อยละ 39 พบการตอบสนองในเชิงบวกสูง ในแง่ของการลดต้นทุนการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม JD.com ได้เปิดตัวชุดโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย เอไอ ที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานของผู้ค้าได้มากถึงร้อยละ 50 โซลูชั่นดังกล่าวประกอบด้วยผู้ช่วยในการเร่งการเปิดตัวร้านค้าออนไลน์ และเครื่องมือสร้างอวาตาร์ที่สมจริง เพื่อให้สามารถไลฟ์สตรีมชอปปิงแบบโต้ตอบได้ตลอดเวลา

เคลลี หลิว (Kelly Liu) หุ้นส่วนของ เบน แอนด์ คอมพานี กล่าวว่า ความโดดเด่นที่เพิ่มขึ้นของ AI ในกลุ่มค้าปลีกของจีนนี้ ช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญกับความท้าทายต่างๆ เช่น การเติบโตของยอดขายปลีกที่ช้าลง, ภาวะเงินฝืด, ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง, การว่างงานของเยาวชน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เปราะบาง

ด้านผู้บริโภค เอไอ ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยผลสำรวจจากผู้บริโภคชาวจีนกว่า 3,000 ราย ของ Bain & Company เผยให้เห็นว่า มีสัดส่วนร้อยละ 12 ของผู้ซื้อที่ใช้เครื่องมือ เอไอ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ซื้อ เจน ซี และ เมื่อพิจารณาจากทุกช่วงวัยแล้ว พบว่า ผู้ซื้อชาวจีนมีแนวโน้มที่จะใช้ เจน เอไอ มากที่สุดในด้านการค้นหาด้วยภาพ (คือ เริ่มการค้นหาด้วยรูปภาพแทนการค้นหาด้วยข้อความ) ถัดมาคือ แชตบอตบริการลูกค้า และการค้นหาและช้อปปิ้งที่สั่งงานด้วยเสียง

นอกจากนี้ รายงานระบุว่าผู้ค้าปลีกที่เชี่ยวชาญ เจน เอไอ จะใช้งานใน 3 ด้านหลัก คือ การสร้างความผูกพันกับลูกค้ามากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน และสุดท้าย เพื่อค้นพบการเติบโตใหม่ นอกเหนือจากการค้าขาย ซึ่งอาจสร้างข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่ยั่งยืนได้

เพื่อรักษาและดูแลความสัมพันธ์กับลูกค้า ผู้ประกอบการชั้นนำเริ่มใช้การปรับปรุงต่าง ๆ เช่น การทำงานอัตโนมัติที่เป็นมิตรกับ SEO ของหน้าผลิตภัณฑ์ การสรุปความคิดเห็นของลูกค้าที่เขียนโดยเอไอ และแม้แต่การลองสินค้าแบบเสมือนจริง ผ่านบริการต่าง ๆ เช่น ห้องลองสินค้าเอไอ ของ Taobao (เถาเป่า) เป็นต้น

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :