

สรุปข่าว
สหรัฐอเมริกา
นับเป็นประเทศที่มีระบบการเลือกตั้งที่ซับซ้อนมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก
โดยจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในปีที่ลงท้ายด้วยเลขคู่ในวันอังคารหลังจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน
ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน ตามเวลาในสหรัฐฯ
สำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจะต้องเป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด
อายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และมีถิ่นที่อยู่ในสหรัฐฯมาแล้ว 14
ปี ซึ่งที่ผ่านมา
เคยมีความพยายามในการดิสเครดิตอดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วหลายคนถึงเรื่องชาติกำเนิด
เช่น บารัก โอบามา ที่ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งจะถูกโจมตีว่าเขาเกิดใน
"เคนยา"
เริ่มจากการเลือกตั้งขั้นต้น
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนนั้น เริ่มจากการเลือกตั้งขั้นต้น
ในวันและเวลาที่ต่างกันไป ซึ่งมีทั้งแบบไพรมารี และคอคัส
ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐกำหนด โดย “ไพรมารี” คือ การให้ผู้ที่ลงทะเบียนพรรคการเมืองออกมาเลือกผู้แทนของพรรคตนเองแบบลับ
ๆ หรือ แบบ “คอคัส” ซึ่งพรรคการเมืองจะกำหนดวันและเวลาการประชุม
ให้ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมและทำการโหวตด้วยการยกมือให้ผู้สมัครที่ชื่นชอบ
การเลือกตั้งขั้นต้นนี้ เป็นไปเพื่อเพื่อสรรหา “ผู้แทน” หรือ delegates เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ โดยพรรคเดโมแครต และรีพับลิกันก็จะแตกต่างกัน โดย เดโมแครตจะแบ่ง delegates ตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ที่ผู้สมัครได้รับเสมือ.. ส่วนรีพับลิกัน ให้เจ้าหน้าที่พรรคในแต่ละรัฐตัดสินใจเองว่า จะใช้ระบบ winner take all หรือ แบ่งตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ไป
การเลือกตั้งขั้นต้นที่ถูกจับตามมองมากที่สุดในทุกปี คือ “Super
Tuesday” หรือ “สุดยอดวันอังคาร“ ซึ่งเป็นวันที่มีการเลือกตั้งขั้นต้นทั้งแบบไพรมารี
และคอคัสพร้อมกันเกือบครึ่งประเทศ
และจะเป็นวันที่ผู้สมัครแต่ละคนจะแย่งชิงกันหาเสียงเพื่อให้ให้ delegates ให้ได้มากที่สุด
จากนั้น delegates เหล่านี้
จะไปร่วมการประชุมใหญ่ของแต่ละพรรค เพื่อเลือก “ตัวแทนของพรรค”
ไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่ง “โจ ไบเดน”
ได้เป็นตัวแทนจากเดโมแครต ส่วนประธานาธิบดีโดนัลด์
ทรัมป์ได้รับการเสนอชื่อสมัยสองโดยไม่ต้องแข่งกับคนอื่น
ประชันวิสัยทัศน์
หลังจากที่ทั้งสองพรรคได้ตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว
ก็จะเข้าสู่ “การดีเบต” หรือการประชันวิสัยทัศน์
เพื่อนำเสนอนโยบาย แสดงความสามารถ ไหวพริบและสติปัญญา บนเวทีเดียวกัน รวม 3
ครั้ง ซึ่งจะมีทั้งที่พิธีกรเป็นผู้ซักถาม และการตอบคำถามจากผู้ชมในฮอลล์
แต่ปีนี้ต้องมีการจำกัดจำนวนคนดูในฮอลล์ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด19
การดีเบตนับว่าเป็นอีกปัจจัยที่จะส่งผลต่อคะแนนนิยมของผู้สมัครไม่มากก็น้อย และเมื่อถึง “วันเลือกตั้งทั่วไป” ซึ่งเป็นการเลือกตั้งโดยที่ประชาชนไม่ได้เลือกประธานาธิบดีโดยตรง แต่เป็นการเลือก “ทางอ้อม” ผ่านทาง “คณะผู้เลือกตั้ง”หรือ electoral college เพื่อไปเลือกประธานาธิบดีอีกทีหนึ่ง
ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ
กำหนดให้มี คณะผู้เลือกตั้งทั่วประเทศ 538
คะแนน จากทั้งหมด 50 รัฐ
ซึ่งแต่ละรัฐจะมีจำนวนไม่เท่ากัน โดยคำนวนจากจำนวนส.ส.และส.ว.ในรัฐ
หรืออีกความหมายคือ คำนวนตามจำนวนประชากรในแต่ละรัฐ หากรัฐไหนประชากรมาก ก็จะมี “คณะผู้เลือกตั้ง” มากนั่นเอง
ซึ่งผู้ที่จะมาเป็นคณะผู้เลือกตั้ง จะมาจากการเสนอบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง
โดยเลือกจากผู้ภักดีต่อพรรค และจะลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคที่เสนอชื่อตัวเอง
คณะผู้เลือกตั้ง Electoral College
ส่วนคะแนนที่ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งนั้นจะเรียกว่า “ป๊อปปูลาร์โหวต” (popular vote) ซึ่งเกือบทุกรัฐจะใช้ระบบ
“winner take all หรือ ผู้ชนะกินเรียบ” คือฝ่ายที่ชนะป๊อปปูลาร์โหวตในรัฐนั้น ๆ ก็จะได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งในรัฐนั้นไปทั้งหมดเลย
เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีคณะผู้เลือกตั้ง 55 คะแนน
หากคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตจากประชาชนพบว่าพรรคเดโมแครตได้เกินครึ่งหนึ่ง
ก็จะได้ไปทั้งห 55 คะแนน / หรือหากรัฐเท็กซัส
พรรครีพับลิกันชนะป๊อปปูลาร์โหวตแม้เพียง 1 คะแนน
ก็จะได้คณะผู้เลือกตั้งทั้ง 38 คนไปทั้งหมด นั่นเอง
และหากพรรคใดได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 270 หรือเกินกึ่งหนึ่ง
ก็จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ดังนั้น รัฐที่มีคณะผู้เลือกตั้งเยอะ
(หรือรัฐที่มีจำนวนประชากรมาก) เช่น แคลิฟอร์เนีย, เท็กซัส,
ฟลอริดา หรือนิวยอร์ก
จะพบว่าผู้สมัครแต่ละคนจะพยายามหาเสียงและทุ่มกันอย่างสุดตัวเพื่อให้ได้คะแนนจากรัฐเหล่านี้
แต่หากพบว่า คะแนนผู้เลือกตั้ง เท่ากันที่ 269 คะแนน รัฐธรรมนูญสหรัฐฯให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเลือกประธานาธิบดี
และให้วุฒิสภาเลือกรองประธานาธิบดี
เคยมีหลายครั้งที่พบว่า ผู้สมัครที่พ่ายแพ้
กลับมีคะแนนป๊อปปูลาร์โหวต หรือ คะแนนดิบจากประชาชน มากกว่าคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง
เช่น กรณีนางฮิลลารี คลินตัน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ที่พ่ายแพ้ให้กับ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ โดยนางคลินตัน ได้เสียงจากประชาชนมากกกว่า 65
ล้านเสียง ขณะที่ทรัมป์ได้เพียง 62 ล้านเสียง
แต่ทรัมป์กลับได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งมากถึง 304 คะแนน ส่วนคลินตันได้เพียง
227 คะแนนเท่านั้น
ปีนี้อาจไม่สามารถทราบจำนวนผู้เลือกตั้งที่แต่ละฝ่ายได้รับในทันทีหลังเลือกตั้ง
เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้มีการลงคะแนนทางไปรษณีย์สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
และอาจทำให้การนับคะแนนล่าช้าออกไปอีก
แต่ตามกำหนดนั้น
บรรดาคณะผู้เลือกตั้งจะต้องประชุมกันในรัฐของตนในเดือนธันวาคม
เพื่อลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี
จากนั้นจะส่งผลไปยังประธานวุฒิสภา ภายในเวลาไม่เกิน 9 วัน
ก่อนจะประกาศชื่อผู้ชนะอย่างเป็นทางการ จากนั้นผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่
46 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2021
ต่อไป
ที่มาข้อมูล : -