สรุปข่าว
ในที่สุดก็เปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการ สำหรับสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในประเทศเยอรมนี ชื่อว่า สกายวอร์ค วิลลิงเงน (Skywalk Willingen) โดยเป็นสะพานที่มีโครงสร้างเหล็กยาวถึง 664 เมตร และสูงถึง 100 เมตร และตั้งอยู่ใกล้กับสกีรีสอร์ต วิลลิงเงน ในรัฐเฮสส์ (Hesse) ประเทศเยอรมนี
ภาพจาก Skywalk Willingen
สะพานสกายวอร์ค วิลลิงเงน เป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดิน ที่เชื่อมจากเนินกระโดดสกี มึลเลนคอฟชานเซ (Mühlenkopfschanze) ไปยังพื้นที่ มูเซนเบิร์ก (Musenberg) ตัวสะพานมีน้ำหนัก 120 ตัน ยึดด้วยสมอเหล็ก 36 ตัว ที่เจาะเข้าไปในภูเขาด้านล่างที่ความลึก 21 เมตร และตัวสะพานสามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 750 คนในคราวเดียว
ด้วยระดับความสูง และความยาวของตัวสะพานที่ยาวถึงเกือบ 700 เมตรนี้ ทางผู้สร้างก็หวังว่าจะทำให้คนที่เดินข้ามสะพาน ได้เต็มอิ่มกับการชมทัศนียภาพที่สวยงามของป่าและธรรมชาติของภูมิภาควิลลิงเงน และยังได้เห็นมุมสูงของลานกระโดดสกีที่อยู่ด้านล่างแบบเต็มอิ่มจุใจ
ภาพจาก Skywalk Willingen
แต่กว่าจะมาเป็นสะพานยาวขนาดนี้นั้นไม่ง่าย โดย อุลริช คูเดล (Ulrich Keude) หนึ่งในซีอีโอของสกายวอร์ค (Skywalk) ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังโครงการแห่งนี้ ได้เปิดเผยว่า พวกเขาใช้เวลากว่า 6 ปีในการวางแผนและการก่อสร้างสะพานแห่งนี้
โดยทีมงานใช้เวลาไปกับการสร้างแบบจำลอง 3 มิติของตัวสะพาน และส่งแบบตรวจกลับไปกลับมากับทางเจ้าหน้าที่และผู้ตรวจสอบ จนกระทั่งในที่สุดก็สามารถสร้างสะพานได้สำเร็จ อีกทั้งยังเสริมว่าตัวสะพานมีความแข็งแรง สามารถต้านพายุเฮอริเคนระดับ 2 พร้อมกับรองรับน้ำหนักหิมะที่ทับถมอยู่ไปพร้อมกันได้
ภาพจาก Skywalk Willingen
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูงและเซ็นเซอร์วัดลมบนสะพาน โดยทันทีที่เซ็นเซอร์วัดลมตรวจพบว่าเกินค่าจำกัดในหลายจุด การเข้าถึงสะพานจะถูกปิดกั้นโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น
สำหรับสะพานแห่งนี้ ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนเป้าหมายหลังจากนี้ บริษัทหวังว่าสะพานจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก มาสัมผัสกับประสบการณ์เดินบนสะพานแขวนสำหรับเดินเท้าที่ยาวที่สุดในเยอรมนี
ภาพจาก Skywalk Willingen
โดยถ้าใครที่มีโอกาสได้ไปเที่ยว แล้วอยากลองเดินบนสะพานนี้ ก็จะมีราคาค่าผ่านทางอยู่ที่ 12 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 420 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และ 9 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 310 บาทสำหรับเด็ก
ข้อมูลจาก dailymail, news.yahoo, eap-magazin
ที่มาข้อมูล : -