"ภาษีความเค็ม" เตรียมบังคับใช้ เก็บตามขั้นบันได ตั้งเป้าคนไทยลดโซเดียม

ในปี 2568 กรมสรรพสามิตเตรียมบังคับใช้มาตรการ "ภาษีความเค็ม" โดยเริ่มจากสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และโจ๊กสำเร็จรูป ซึ่งจะถูกเก็บภาษีในอัตราแบบขั้นบันไดตามปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ เป้าหมายสำคัญของมาตรการนี้คือการลดการบริโภคโซเดียมของคนไทยลง 30% ตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคโซเดียมสูง เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไต หัวใจ และหลอดเลือดสมอง

"ภาษีความเค็ม" เตรียมบังคับใช้ เก็บตามขั้นบันได ตั้งเป้าคนไทยลดโซเดียม

สรุปข่าว

กรมสรรพสามิตเตรียมบังคับใช้มาตรการ "ภาษีความเค็ม" โดยเริ่มจากสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และโจ๊กสำเร็จรูป ซึ่งจะถูกเก็บภาษีในอัตราแบบขั้นบันไดตามปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์

ปัญหาการบริโภคโซเดียมในคนไทย
ข้อมูลระบุว่า คนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ย 4,351.69 มิลลิกรัมต่อวัน สูงกว่าเกณฑ์ที่ WHO กำหนด (ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน) ส่งผลให้มีผู้ป่วยด้วยโรค NCDs (Non-Communicable Diseases) กว่า 22 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 400,000 คนต่อปี สร้างภาระทางเศรษฐกิจถึง 1.6 ล้านล้านบาท

ภาษีความเค็มกระตุ้นการลดโซเดียมได้อย่างไร?
- ภาษีความเค็มจะจูงใจให้ผู้ประกอบการลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ โดยผู้ผลิตบางรายได้เริ่มปรับตัว เช่น ขนมสาหร่ายลดโซเดียมลง 50% และมันฝรั่งทอดลดโซเดียมลง 30%
- ผู้บริโภคจะมีตัวเลือกสินค้าสุขภาพมากขึ้น และสามารถหลีกเลี่ยงภาษีผ่านการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำ

มาตรการนี้เคยประสบความสำเร็จในต่างประเทศ เช่น ฮังการี ซึ่งสามารถกระตุ้นการลดปริมาณเกลือในอาหารและลดการบริโภคโซเดียมของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในประเทศไทย ภาษีความเค็มคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการรักษาพยาบาลของภาครัฐ และลดการเสียชีวิตจากโรค NCDs

การบังคับใช้ภาษีนี้ควรดำเนินควบคู่กับการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการบริโภคโซเดียม และสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อให้มาตรการนี้บรรลุเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในระยะยาว

ที่มาข้อมูล : IQ

ที่มารูปภาพ : กรมสรรพสามิต