TNN ดาวโจนส์ ร่วงแรง 620.74 จุด วิตกปั่นหุ้น GameStop ฉุดตลาด

TNN

World

ดาวโจนส์ ร่วงแรง 620.74 จุด วิตกปั่นหุ้น GameStop ฉุดตลาด

ดาวโจนส์ ร่วงแรง 620.74 จุด วิตกปั่นหุ้น GameStop ฉุดตลาด

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดาวโจนส์ปิดร่วง 620.74 จุด วิตกวัคซีนจอห์นสัน,ปั่นหุ้น GameStop ฉุดตลาด

วันนี้ (30 ม.ค. 64) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 600 จุดเมื่อคืนนี้ (29 ม.ค.) และร่วงลงมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2563 โดยตลาดถูกกดดันจากรายงานผลการทดลองประสิทธิภาพวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่น่าผิดหวังจากบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) และภาวะผันผวนในตลาดที่เกิดจากการปั่นหุ้น GameStop ซึ่งเป็นหุ้นร้านจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังในสหรัฐ


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,982.62 จุด ร่วงลง 620.74 จุด หรือ -2.03%, ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,714.24 จุด ร่วงลง 73.14 จุด หรือ -1.93% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,070.69 จุด ร่วงลง 266.46 จุด หรือ -2.00%


ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีทั้ง 3 ตัวร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สิ้นเดือนต.ค.2563 โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วง 3.28%, S&P500 ร่วง 3.31% และดัชนี Nasdaq ร่วง3.49% และทั้งเดือนม.ค.นั้น ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.04%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.12% ขณะที่ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.42%          


ตลาดถูกกดดันจากหุ้น J&J ที่ร่วงลง 3.56% หลังเปิดเผยว่า วัคซีนของบริษัทโดสเดียวมีประสิทธิภาพ 72% ในการป้องกันโรคโควิด-19 ในสหรัฐ และต่ำกว่า 66% ในการทดลองทั่วโลก ซึ่งถือเป็นระดับประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค และโมเดอร์นาซึ่งอยู่ที่ราว 95% ในการป้องกันโรคโควิดเมื่อฉีด 2 โดส


หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 8.53% และหุ้นไฟเซอร์ เพิ่มขึ้น 0.11%


นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับการปั่นหุ้น GameStop ซึ่งปิดพุ่งขึ้น 67.87% หลังจากหุ้นร้านจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังในสหรัฐแห่งนี้พุ่งขึ้นมากกว่า 1,000% แล้วนับตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นผลจากการรวมตัวกันของนักลงทุนรายย่อยของสหรัฐในการเข้าซื้อเพื่อดันราคาขึ้น โดยหวังจะสั่งสอนกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่มักเก็งกำไรด้วยการขายชอร์ตในตลาด


ทั้งนี้ กลุ่มนักลงทุนใน WallStreetBets ซึ่งเป็นบอร์ดย่อยใน Reddit ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดที่มีสมาชิกกว่า 4 ล้านราย และเป็นแหล่งที่นักลงทุนรายย่อยมักเข้าสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการซื้อขายหุ้นในตลาด ได้เล็งเป้าหมายที่จะผลักดันราคาหุ้น GameStop ให้สูงขึ้นเพื่อกดดันให้เฮดจ์ฟันด์ต้องกลับเข้าซื้อคืนหุ้นดังกล่าวเพื่อตัดขาดทุน หลังจากที่ได้ขายชอร์ตก่อนหน้านี้ โดยเก็งว่า GameStop จะต้องปิดกิจการในไม่ช้า


การกระทำดังกล่าวของนักลงทุนรายย่อยทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ประสบภาวะขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์


ขณะนี้ มีความวิตกกันว่า หากหุ้น GameStop ยังคงพุ่งขึ้นต่อไป ก็จะทำให้เฮดจ์ฟันด์ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งจะส่งผลให้เฮดจ์ฟันด์เหล่านี้พากันเทขายหุ้นอื่นในตลาดเพื่อระดมเงินมาชดเชยผลขาดทุนจากการเก็งกำไรใน GameStop


นอกจากนี้ ยังมีความกังวลกันว่า ปรากฎการณ์ GameStop เป็นการส่งสัญญาณถึงการเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาด ซึ่งหากฟองสบู่แตก ก็จะสร้างความตื่นตระหนก และกระทบนักลงทุนรายย่อยอย่างหนัก การซื้อขายหุ้น GameStop ดันวอลุ่มซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์คพุ่งแตะ 1.713 หมื่นล้านหุ้น สูงกว่าวอลุ่มเฉลี่ยในรอบ 20 วันทำการที่ผ่านมาที่ 1.526 หมื่นล้านหุ้น


คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) เปิดเผยว่า จะจับตาอย่างใกล้ชิดกับการซื้อขายหุ้นของบรรดาโบรกเกอร์และเทรดเดอร์ในโซเชียล มีเดีย


ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยในรอบ 50 วันซึ่งเป็นแนวรับทางเทคนิค


หุ้นแอปเปิล ร่วง 3.74% และหุ้นไมโครซอฟท์ ร่วง 2.92% โดยถูกกดดันจากแรงขายของเฮดจ์ฟันด์เพื่อชดเชยการขาดทุนจากการขายชอร์ตหุ้น GameStop เป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

 

 สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐเมื่อคืนนี้ได้แก่ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่บ่งชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 79.0 ในเดือนม.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 79.2 จากระดับ 80.7 ในเดือนธ.ค., สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 0.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน 

 

ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 0.1%, กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐลดลง 0.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 หลังจากดิ่งลง 0.7% ในเดือนพ.ย., กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ย. และกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานที่กว้างที่สุด เพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาส 4/2563 เมื่อเทียบรายไตรมาส สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น0.5% ในไตรมาส 3/2563



เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
facebook live : TNN Live
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNThailand
Instagram : @tnn_online
TIKTOK : @tnnonline


 

ข่าวแนะนำ