โฟล์กสวาเกนจ่อปิดโรงงานในเยอรมนีครั้งแรกในประวัติศาสตร์

บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติเยอรมันอย่าง “โฟล์กสวาเกน” ออกแถลงการณ์ว่ากำลังพิจารณาที่จะปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดของโฟล์กสวาเกนเป็นครั้งแรกในรอบ 87 ปี ซึ่งการตัดสินใจนี้ยังหมายถึงการสั่งปิดโรงงานเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่บริษัทรถยนต์นี้ได้ก่อตั้งมา ด้วยความต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายหลังจากอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปในช่วงปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ที่เข้ามาบุกตลาดอย่างหนักหน่วง แม้ว่าโฟล์กสวาเกนจะเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม ก็ไม่อาจต้านทานผลกระทบนี้ได้

ด้านนายโอลิเวอร์ บลูเม่ ซีอีโอของโฟล์กสวาเกนกรุ๊ป ออกมากล่าวว่า จุดประสงค์หลักของความเคลื่อนไหวในครั้งนี้เพราะต้องการ “ลดต้นทุน” เพระาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของยุโรปกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เข้าขั้นวิกฤต เพราะสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในทุกวันนี้มีการแข่งขันที่ยากและท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะจากผู้เล่นใหม่ๆ อย่าง BYD บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ที่เข้ามาตีตลาดรถยนต์ของยุโรปอย่างเต็มตัว ด้วยราคารถยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มถูกลงยิ่งได้รับความนิยมในยุโรปมากขึ้น โดยเมื่อปลายปีที่แล้วโฟล์คสวาเกนเริ่มลดต้นทุนลงไปด้วยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านยูโร หรือราว 370,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทเพิ่งสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในจีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งการส่งมอบรถยนต์โฟล์กสวาเกนในจีนลดลงราว 7% เมื่อเทียบกับเมื่อปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม แผนการปิดโรงงานรถยนต์ของโฟล์กสวาเกนอาจต้องเผชิญการต่อต้านอย่างหนักจากตัวแทนแรงงาน ซึ่งครองที่นั่งเกือบครึ่งหนึ่งในบอร์ดคณะกรรมการของบริษัท ขณะเดียวกันมีรายงานว่าหลังจากนี้อาจมีมาตรการอื่นๆ ที่บริษัทจะใช้ในการลดต้นทุนตามมา อย่างการเลิกจ้างพนักงาน หรือ เลย์ออฟ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2029 โดยในรายงานผลประกอบการเผยว่าขณะนี้โฟล์กสวาเกนมีพนักงานเกือบ 7 แสนคนทั่วโลก แค่เฉพาะที่เยอรมนีก็มีมากเกือบ 3 แสนคนแล้ว โดยหลายฝ่ายได้ออกมาแนะนำให้โฟล์กสวาเกนเจรจากับตัวแทนแรงงานเพื่อลดกระแสการต่อต้านและเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างบริษัทอย่างยั่งยืน

ทางฝั่งโฟล์กสวาเกนจะหารือเกี่ยวกับมาตราเลิกจ้างร่วมกับสหภาพแรงงานอีกครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปในตอนนี้อยู่ในภาวะที่ตึงเครียดอย่างมาก ซึ่งหากยังต้องเผชิญกับวิกฤตนี้อยู่การลดต้นทุนเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางออกของปัญหา