แฮร์ริสจูงวอลซ์ไป 2 รัฐสวิงสเตททดสอบความนิยม

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ว่าที่ผู้สมัครประธานาธิบดีพรรคเดโมแครต นำทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ไปหาเสียงที่ 2 รัฐสมรภูมิ วิสคอนซินและมิชิแกน เป็นครั้งแรกวานนี้ (7 ส.ค.) เพื่อทดสอบกระแสความนิยมในตัวทิม วอลซ์ หลังจากที่แฮร์ริสเพิ่งเลือกเขาให้มาเป็นผู้สมัครรองประธานาธิบดีคู่กับเธอ 

ทั้งคู่กำลังใช้การหาเสียงใน 2 รัฐสวิงสเตทดังกล่าว เพื่อแนะนำตัววอลซ์ อดีตครูและโค้ชฟุตบอล และทหารผ่านศึกของกองทัพพิทักษ์ชาติสหรัฐฯ ต่อผู้มีสิทธิ์ออกเสียงไม่ใช่เพียงใน 2 รัฐนี้ แต่ต่อชาวอเมริกันทั่วประเทศ ผ่านข่าวการหาเสียงของสื่อมวลชน หลังจากที่วอลซ์สามารถเอาชนะคู่แข่งในพรรคเดโมแครตคนอื่น ๆ ที่เป็นที่รู้จักมากกว่าเขาไปได้ จนได้เป็นผู้สมัครรองประธานาธิบดี และเพื่อเป็นการต่อยอดกระแสการยอมรับในตัวแฮร์ริสด้วย

แฮร์ริสได้รับกระแสตอบรับดี ในผลสำรวจความนิยมหลายสำนักในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่เธอได้ขึ้นมาแทนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่ยอมถอนตัว เธอสามารถหดช่องว่างคะแนนนำของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่เคยนำไบเดนได้ก่อนหน้านั้นให้แคบลงได้ และสามารถทำให้ผู้บริจาคทางการเมืองของพรรคเดโมแครตเหมือนได้รับการเติมพลังใหม่ ต่างทุ่มเทเงินสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของแฮร์ริสอย่างเต็มที่

สำหรับมิชิแกนและวิสคอนซิน เป็น 2 รัฐสมรภูมิสำคัญของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ ที่เดโมแครตหมายมั่นจะต้องเอาชนะให้ได้ หลังจากที่ ‘ฮิลลารี คลินตัน’ เคยพ่ายแพ้อย่างไม่คาดฝันใน 2 รัฐนี้ มีส่วนช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016

แม้ว่าไบเดนจะสามารถเอาชนะทรัมป์ได้ใน 2 รัฐนี้ในการเลือกตั้งครั้งต่อมาในปี 2020 แต่ผลสำรวจความนิยมไบเดน-ทรัมป์ก่อนที่ไบเดนจะถอนตัวนั้น พบว่าสูสีมากในรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรเชื้อสายมุสลิมและอาหรับจำนวนมาก ที่ไม่พอใจที่เกิดวิกฤติมนุษยธรรมในฉนวนกาซา จากการที่อิสราเอลทำสงครามกับฮามาส

ในการปราศรัยที่เมืองดีทรอยท์ มิชิแกนวานนี้ แฮร์ริสกล่าวโจมตีทรัมป์ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีอาญา และโจมตีนโยบายของทรัมป์ว่า ทรัมป์ถูกตัดสินว่าผิดในคดีละเมิดทางเพศและฉ้อโกง 34 กระทง ส่วนตัวเธอเมื่อครั้งเป็นอัยการนั้น เธอเชี่ยวชาญในคดีละเมิดทางเพศ และยังเคยทำให้ธนาคารยักษ์ใหญ่หลายแห่งในวอลล์สตรีทต้องรับผิดชอบในคดีฉ้อโกงมาแล้ว

แฮร์ริสเตือนว่า หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง เขามีนโยบายจะยกเว้นภาษีให้แก่มหาเศรษฐีพันล้านและบริษัทขนาดใหญ่ จะลดสวัสดิการสังคมและการรักษาพยาบาล และจะหยุดการต่อสู้กับวิกฤติปัญหาโลกร้อนด้วย