โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เขียนจดหมายเปิดผนึกลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2024 เกี่ยวกับการถอนตัวจากการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกสมัย
ในจดหมายนั้นเห็นถึงความสำเร็จภายใต้การบริหารงานของเขาในช่วงสามปีกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเด็นเศรษฐกิจที่ย้ำว่า อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก มีการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์เพื่อสรรสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง
ตลอดจนขยายการบริการสาธารณสุขในราคาที่ชาวอเมริกันเข้าถึงได้ รวมถึงเรื่องในเชิงสังคม เช่น การแต่งตั้งตุลาการศาลสูงสุด ซึ่งเป็นสตรีชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรก และการผ่านกฎระเบียบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการปกป้องและรักษาประชาธิปไตย การฟื้นฟูและกระชับพันธมิตรทั่วโลก
ไบเดนระบุว่า นับเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต ที่ได้ทำงานในตำแหน่งประธานาธิบดี และแม้เขาเคยมุ่งหวังลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัย แต่เขาเห็นว่า ประโยชน์สูงสุดของพรรคและประเทศชาติ ก็คือการที่เขาถอนตัว
ไบเดนระบุว่าจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีตลอดวาระที่เหลืออยู่ และจะแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับการตัดสินใจในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ ไบเดนยังประกาศสนับสนุนรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส เป็นตัวแทนพรรคแทนเขาด้วย
- 48 ชั่วโมงแห่งการเปลี่ยนความคิด
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวสองรายระบุว่า ไบเดนใช้เวลาราว 48 ชั่วโมงในการดูข้อมูลโพลต่างๆ และพบว่า เขาไม่ได้ตามหลังทรัมป์ในแค่ 6 รัฐสมรภูมิเท่านั้น แต่ยังตามหลังในรัฐเวอร์จิเนีย และมินนิโซตา ซึ่งเป็นรัฐที่พรรคเดโมแครตไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะต้องทุ่มทรัพยากรไปหาเสียงมาก
หลังย่อยข้อมูลต่าง ๆ แล้ว ไบเดนจึงเปลี่ยนความคิด โดยเขาได้เรียกบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาว และทีมหาเสียงมาในช่วง 13.45 น. วันอาทิตย์ (21 กรกฎาคม) และไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ออกหนังสือเปิดผนึกดังกล่าว
แรงกดดันไบเดนมาจากผู้บริจาค
เอริค แฮม นักวิเคราะห์ระบุกับสำนักข่าวอัลจาซีราว่า ชัดเจนว่า ไม่ใช่ผู้มีสิทธิออกเสียง หรือสมาชิกพรรคเดโมแครตทั่วไป ที่เรียกร้องให้ไบเดนถอนตัว
เขามองว่า ในช่วงเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีสส.และสว. ตลอดจน ผู้บริจาครายใหญ่ของพรรคหลายคน ออกมาเรียกร้องให้ไบเดนหลีกทาง รวมถึงผู้บริจาคของพรรคบางคน ขู่ด้วยว่า จะระงับการสนับสนุนไบเดน สะท้อนได้ว่า เงินนั้นมีอิทธิพล ส่งเสียงได้ดังมาก จนไบเดนต้องยอมจำนนต่อเสียงเรียกร้องนี้
ทั้งนี้ ทันทีที่ไบเดนประกาศถอนตัว กลุ่ม ActBlue ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มระดมทุนหลักของพรรค ได้ประกาศว่า พวกเขาสามารถระดมทุนได้เกือบ 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,700 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ในวันเดียวที่มากที่สุดในปี 2024
รีพับลิกันกัดไม่ปล่อย
บรรดาแกนนำพรรครีพับลิกัน รวมถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โจมตีไบเดนอย่างหนัก และเรียกร้องให้ไบเดนลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในทันที ก่อนหมดวาระในเดือนมกราคม
ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน ระบุว่า หากโจ ไบเดน ไม่แข็งแรงพอที่จะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาก็ไม่แข็งแรงพอที่จะทำหน้าที่ประธานาธิบดี เขาต้องลาออกจากตำแหน่งในทันที
จอห์นสัน ระบุว่า ด้วยว่า การถอนตัวของไบเดนนั้น เป็นช่วงเวลาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่พรรคเดโมแครตบังคับให้ผู้ที่พรรคจะเสนอชื่อถอนตัว เพียงแค่ 100 วันก่อนวันเลือกตั้ง และยังถือเป็นการทำให้เสียงของชาวอเมริกันมากกว่า 14 ล้านเสียงที่เลือกให้ไบเดนเป็นตัวแทนพรรค กลายเป็นโมฆะด้วย ทั้ง ๆ ที่นี่คือ ‘party of democracy’ แต่กลับทำตรงกันข้าม
ด้านทรัมป์ ก็เรียกร้องให้ไบเดนวัย 81 ปีออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระเช่นกัน
ขณะที่ เอลิซ สเตฟานิค ประธานการประชุมพรรครีพับลิกัน ออกแถลงการณ์เช่นกันว่า หากไบเดนไม่ได้ลงชิงเลือกตั้งอีกสมัย เขาก็ไม่สามารถ และไม่ฟิตพอที่จะทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่นกัน
นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันได้หันเป้ามาโจมตีกมลา แฮร์ริสแล้วเช่นกัน โดยมีการปล่อยโฆษณาหาเสียงของทรัมป์ ระบุว่า แฮร์ริส สมรู้ร่วมคิดในการปกปิดปัญหาสุขภาพของไบเดน
โฆษณาดังกล่าวเป็นของ Make America Great Again Inc หนึ่งในกลุ่มการเมือง Super PACs ที่สนับสนุนทรัมป์ และมีการเผยแพร่เพียงไม่กี่นาที หลังไบเดนประกาศถอนตัวและหนุนแฮร์ริส
โฆษณาตัวนี้ ยังเชื่อมโยงแฮร์ริสกับนโยบายต่างๆของไบเดนที่ล้มเหลว เช่น เศรษฐกิจ และปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง โดยย้ำว่า แฮร์ริสก็มีส่วนในความล้มเหลวนี้
ทั้งนี้ Super PACS ย่อมาจาก Super Political Action Committee เป็นกลุ่มการเมืองที่สามารถระดมทุนได้โดยไม่จำกัดจำนวน เพื่อสนับสนุนหรือต่อต้านผู้สมัครรับเลือกตั้ง
เดโมแครตป้องไบเดนสุดตัว พร้อมหนุน “แฮร์ริส”
ในฝั่งของพรรคเดโมแครต ต่างออกมาปกป้องการตัดสินใจครั้งนี้ของไบเดนว่า เป็นการทำเพื่อชาติ และไม่เห็นแก่ตัว
แถลงการณ์ของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน และฮิลารี คลิน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ระบุว่า พวกเขาขอร่วมกับชาวอเมริกันหลายล้านคนขอบคุณประธานาธิบดีไบเดนในสิ่งที่ไบเดนได้ทำประสบความสำเร็จทั้งหมด และขอสนับสนุนรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ในการต่อกรกับทรัมป์ในเดือนพฤศจิกายนด้วย
ส่วนอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ระบุว่าเช่นกันว่า ไบเดนเป็นผู้รักชาติ แต่ก็เตือนว่า เราจะยังเผชิญความไม่แน่นอนในหลายวันข้างหน้า และโอบามาไม่ได้ประกาศรับรองนางแฮร์ริสแต่อย่างใด
ขณะที่ชัค ชูเมอร์ ผู้นำสว.เสียงข้างมาก ออกแถลงการณ์ว่า ไบเดนไม่เพียงแต่เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้นำด้านนิติบัญญัติที่ยิ่งใหญ่ด้วย และเขาเป็นมนุษย์ที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง การตัดสินใจของไบเดนไม่ได้เรื่องง่าย แต่เขาทำเพื่อประเทศ พรรค และเพื่ออนาคตของพวกเรา
ด้าน ไจม์ มอร์ริสัน ประธานกรรมการแห่งชาติเดโมแครต ให้คำมั่นว่า กระบวนการสรรหาผู้แทนพรรคลงชิงประธานาธิบดี จะเป็นไปอย่างเรียบร้อยและโปร่งใส เป็นไปตามกติกาและกระบวนการของพรรค และในไม่นานนี้ ชาวอเมริกันจะได้รับทราบถึงขั้นตอนต่อไปของพรรคเดโมแครต
ทั้งนี้ บรรดาสส.และสว. ตลอดจนผู้ว่าการรัฐของเดโมแครต ต่างทยอยประกาศสนับสนุนนางแฮร์ริสเป็นตัวแทนพรรคสู้ศึกใหญ่ แต่การจะได้รับการเสนอชื่อนั้น เธอจำเป็นต้องได้รับคะแนนอย่างน้อยจากผู้แทนพรรคอย่างน้อย 1,986 คนในการประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรคเดโมแครตก่อน
เงินทุนหาเสียง อีกอุปสรรคของแฮร์ริส
ในตอนแรก แฮร์ริส ดูเหมือนจะได้เปรียบกว่า ตัวเก็งคนอื่นๆของพรรคเดโมแครต ในแง่ที่ว่า เธอน่าจะเข้าถึงแคมเปญหาเสียงของไบเดน ที่ระดมทุนมาได้มากแล้วก่อนหน้านี้ เพราะทั้งไบเดนและแฮร์ริส มีชื่อในเอกสารที่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการหาเสียง ซึ่งแฮร์ริสสามารถเข้าถึงกองทุนหาเสียงได้อย่างไร้รอยต่อ ภายใต้แคมเปญไบเดน-แฮร์ริส แต่หากเป็นผู้สมัครคนอื่น ต้องเริ่มการระดมทุนจากศูนย์
คณะกรรมการเลือกตั้งรัฐบาลกลาง บางคนมองว่า แฮร์ริส มีสิทธิใช้เงินดังกล่าว แต่บางคนก็มองว่า อาจไม่ได้ ขณะที่พรรครีพับลิกัน เตรียมที่จะยื่นฟ้องเช่นกัน หากแฮร์ริสจะใช้เงินหาเสียงดังกล่าว
ทั้งนี้ แคมเปญไบเดน-แฮร์ริส คณะกรรมการแห่งชาติพรรคเดโมแครต (DNC) และสาขาย่อยของพรรคตามรัฐต่าง ๆ ได้ระดมทุนแล้วราว 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้ เกือบ 96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,400 ล้านบาท อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของแคมเปญไบเดน-แฮร์ริส
ด้าน DNC ได้รีแบรนด์แคมเปญไบเดน-แฮร์ริส เป็นชื่อใหม่คือ “Harris for President” และสิ่งที่แฮร์ริสต้องทำต่อจากนี้ คือ ต้องรีบระดมทุนเพิ่มเติม เพราะการสนับสนุนลดถอยลงไปในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
หากแฮร์ริส ไม่ได้เป็นตัวแทนพรรค เงินที่ระดมทุนมาได้ จากถ่ายโอนไปให้ DNC หรือไม่ก็ต้องบริจาคให้กลุ่มนอกเช่น Super PACs เป็นต้น
หากพรรคเดโมแครต เลือกผู้แทนมาจากผู้ว่าการรัฐ บุคคลดังกล่าวต้องเริ่มต้นแคมเปญหาสัยงจากศูนย์ แต่หากเลือกสส. หรือสว.มาลงชิงแทน เงินทุนที่เหลือจากการเลือกตั้งรอบก่อนๆ สามารถถ่ายโอนมาที่คณะกรรมการของพรรคได้
ทั้งนี้ สำหรับผู้บริจาคของพรรคเดโมแครต เป้าหมายคือการต้องโค่นทรัมป์ให้ได้ ในปี 2020 พรรคเดโมแครตระดมทุนให้แคมเปญหาเสียงของไบเดนได้มากถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น คำถามคือ ในรอบนี้ นายทุนกระเป๋าลึกของเดโมแครต ต้องการอะไร ในเวลาที่ไม่ถึงอีกสี่เดือน
หากการประชุมใหญ่ของพรรคในเดือนหน้า มีการจัดแบบ open convention มีแนวโน้มว่าบรรดาผู้บริจาคอาจเสียงแตกว่า จะเลือกใครมาแทนไบเดน แต่จอร์จ โซรอส หนึ่งในผู้บริจาคหลักของเดโมแครต ประกาศแล้วว่าเขาจะหนุนแฮร์ริส
ขณะที่ในฝั่งทรัมป์ ตัวเขาและกลุ่ม Super PACs ที่หนุนเขาสามารถระดมทุนได้มากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีบุคคลดัง ๆ เช่น อีลอน มัสค์ และพอล ซิงเกอร์ ประกาศทุ่มบริจาคหนุน โดยแคมเปญทรัมป์และคณะกรรมการแห่งชาติของรีพับลิกัน ระดมทุนได้แล้ว 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มากกว่าแคมเปญของไบเดนไป 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบรรดาผู้บริจาคของรีพับลิกันนั้นมีความเป็นเอกภาพในการร่วมการสนับสนุนทรัมป์
เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไร้ตระกูลการเมืองดังในรอบเกือบห้าสิบปี
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯรอบนี้ จะไม่มีผู้สมัครประธานาธิบดีหรือรองฯ จากสามตระกูลการเมืองดังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1976 หรือ 48 ปี
นั่นก็คือ ตระกูลไบเดน บุช และคลินตัน
ทั้งสามตระกูลนี้ ต่างมีสมาชิกที่ได้เป็นตัวแทนพรรคลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาในทุกการเลือกตั้ง ระหว่างปี 1980-2020
หากย้อนไปดูจะพบว่า จอร์จ เอช ดับเลิ้ลยู บุช ได้ลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในปี 1980 และ 1984 ตามด้วยการลงชิงประธานาธิบดีในปี 1984 และ 1992
ขณะที่บิล คลินตัน เป็นผู้แทนของพรรคลงชิงในปี 1992 และสู้ศึกรอบสองในปี 1996 ตามด้วย จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ผู้ลูก ได้เป็นประธานาธิบดีในปี 2000 และ 2004
ไบเดนได้ลงชิงรองประธานาธิบดีคู่กับบารัค โอบามา ในปี 2008 และ 2012 ขณะที่ฮิลลารี คลินตัน ลงชิงประธานาธิบดีแข่งกับทรัมป์ในปี 2016 และเมื่อสี่ปีที่แล้ว ไบเดนลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และปิดฉากวาระเดียวในปี 2024