“โจ ไบเดน” ประกาศถอนตัวชิงปธน. สหรัฐฯ เสนอชื่อ “กมลา แฮร์ริส”
“โจ ไบเดน” ประกาศถอนตัวลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งปธน. สหรัฐฯ เสนอชื่อ “กมลา แฮร์ริส” เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างการรักษา และพักฟื้นอาการติดไวรัสโควิด-19 ประกาศยุติการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี หลังทนกระแสถูกเพื่อนสมาชิกพรรคเดโมแครตกดดัน และโน้มน้าวให้ถอนตัวมาระยะหนึ่ง อันเป็นผลจากการทำผลงานไม่ดี ในช่วงดีเบตประชันวิสัยทัศน์กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ วัย78ปี ผู้สมัครตัวแทนจากพรรครีพับลิกันเมื่อช่วงเดือนมิ.ย. ที่ไบเดนทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วง เกี่ยวกับความเฉียบคมทางสติปัญญา และความสามารถกับช่วงอายุในวัย 81 ปี
เรื่องการประกาศถอนตัว และยุติการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. นายไบเดนโพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ เอกซ์ ระบุว่า เขาตัดสินใจไม่ขอยอมรับการเสนอชื่อเพื่อเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตเพื่อไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย. เพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของพรรคและของประเทศ โดยจะยังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไปจนกระทั่งหมดวาระดำรงตำแหน่งในเดือนม.ค.2568 และ จะแถลงต่อประชาชนในสัปดาห์นี้
พร้อมระบุด้วยว่า การตัดสินใจเลือกนางกมลา แฮร์รีส เป็นคู่หูชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเมื่อปี 2020 เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่เคยทำมา วันนี้ จึงอยากจะให้การสนับสนุน และขอเสนอให้นางแฮร์รีส เป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตเพื่อไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้ ถึงเวลาที่ต้องร่วมใจกันและเอาชนะทรัมป์
การตัดสินใจถอนตัวไม่รับการถูกเสนอชื่อเพื่อเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตเพื่อชิงประธานาธิบดี เกิดขึ้น 4 เดือนก่อนถึงวันเลือกตั้งวันที่ 5 พ.ย. และหลังจากผลงานบนเวทีดีเบตประชันวิสัยทัศน์กับนายทรัมป์ ทำได้ไม่ค่อยดี ไบเดนดูเชื่องช้า ไม่กระฉับกระเฉง ตอบโต้ไม่ทันนายทรัมป์ ทำให้เขาถูกหลายฝ่ายแม้แต่เพื่อนร่วมพรรคเดโมแครตออกมาแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับความเฉียงคมทางปัญญาและความสามารถที่จะบริหารประเทศในวัย81ปี และพยายามโน้มน้าวให้ไบเดนถอนตัว เพราะเกรงว่าพรรครีพับลิกันจะได้ครองทั้งทำเนียบขาวและสภาคองเกรสทั้งสองสภา
ขณะที่พรรคเดโมแครตจะประชุมใหญ่พรรคที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ในวันที่ 19 - 22 ส.ค. ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีการสนับสนุนตามข้อเสนอของนายไบเดนที่เสนอให้รองประธานาธิบดีแฮร์รีส เป็นผู้แทนพรรคไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย.หรือไม่
ภาพจาก: AFP
ข่าวแนะนำ