แอฟริกาใต้ใกล้รอดพ้นโอมิครอน แต่สหรัฐฯ-ยุโรปอ่วม ติดเชื้อทำสถิติทุกวัน
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เปิดเผยรายงาน คาดว่า การระบาดของโอมิครอน ในแอฟริกาใต้ อาจหยุดลงแล้ว แต่หลายประเทศกลับไม่เป็นเช่นนั้น
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO รายงานเมื่อวานนี้ (28 ธันวาคม) ว่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมทั่วโลก ทะลุ 280 ล้านคนแล้ว ส่วนยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกทะลุ 5.4 ล้านคน หลังจากเมื่อวานนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลก เพิ่มขึ้น 445,944 คน และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั่วโลก 4,501 คน
ขณะเดียวกัน WHO ได้ออกรายงานประจำสัปดาห์ติดตามสถานการณ์ระบาดของโควิดล่าสุดในวันนี้ (29 ธันวาคม) ระบุว่า สถานการณ์ระบาดของโอมิครอนในประเทศแอฟริกาใต้ ประเทศที่รายงานการตรวจพบโอมิครอนเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ปรากฏว่า "ผู้ติดเชื้อโอมิครอนรายใหม่ในแอฟริกาใต้ ลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า การระบาดของโอมิครอนหยุดการเพิ่มขึ้นแล้วในแอฟริกาใต้ อย่างน้อยก็ในขณะนี้"
---โอมิครอนอันตรายน้อยกว่าเดลตา---
รายงานล่าสุดของ WHO ยังตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ ในจำนวนที่ลดลง ส่วนข้อมูลเบื้องต้นจากแอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และเดนมาร์ก พบว่า ความเสี่ยงที่โอมิครอนจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลนั้น มีความเสี่ยงที่ลดลง เมื่อเทียบกับการติดเชื้อ “เดลตา”
อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดของ WHO ยังเตือนว่า อันตรายโดยรวมที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโอมิครอน ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าผลการศึกษาเบื้องต้นจะพบว่า โอมิครอนรุนแรงน้อยกว่าเดลตา อย่างเช่นผลการศึกษาในสหราชอาณาจักรพบว่า อัตราการเข้าโรงพยาบาลของผู้ติดเชื้อโอมิครอน น้อยกว่าเดลตา
รายงานของ WHO ระบุต่อไปว่า โอมิครอนกลายเป็นโควิดสายพันธุ์หลักที่ระบาดมากที่สุดในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรไปแล้ว โดยสหรัฐฯ พบโอมิครอนระบาดเพิ่มขึ้น 39% มากที่สุดในโลกในสัปดาห์ระหว่างวันที่ 20-26 ธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องมาจากโอมิครอนระบาดอย่างรวดเร็วมาก WHO ชี้สาเหตุที่โอมิครอนระบาดเร็วมาก เป็นเพราะความสามารถในการติดต่อแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว และสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้
---สหรัฐฯ ติดโควิดหลายแสนคนต่อวัน---
แม้ชาติแรกที่พบโอมิครอน จะพบว่าพายุสงบลงแล้ว แต่สำหรับสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างรุนแรง โดยล่าสุด กรมควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC เปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ (27 ธันวาคม) มีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 440,000 คน
แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่า ตัวเลขนี้อาจสูงเกินกว่ารายงานรายวันที่แท้จริง เนื่องจากมีการรายงานที่ "ช้า" ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ทำให้ยอดมารวมในวันถัดมา
อย่างไรก็ตาม CDC ยอมรับว่ามีการรายงานข้อมูลผิดพลาดไปก่อนหน้านี้ โดยมีการปรับการประเมินจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนในสหรัฐฯลงเหลือราว 59% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ จากเดิมที่รายงานว่าคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 73%
ด้าน ดร.สกอตต์ กอตเลียบ ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ในสหัรฐฯ ระบุว่า สัดส่วนคนที่ครอบครองเตียงในสหรัฐฯ เวลานี้ ยังคงเป็นคนติดเชื้อกลายพันธุ์ "เดลตา"
---ยุโรปก็อ่วม---
ฝรั่งเศส รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันอังคารอยู่ที่ 179,807 ราย แต่ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ทำสถิติผู้ติดเชื้อสูงสุด ยังมีอิตาลี, กรีซ, โปรตุเกสและอังกฤษ ทั้งหมดต่างมีตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงสุดด้วย สถานการณ์เลวร้ายนี้ เป็นเหตุผลหนึ่งในของการล้มเลิกการฉลองในช่วงเทศกาลสำคัญทั้งคริสต์มาสที่ผ่านมา และส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง หลายประเทศรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดจากการระบาดของเชื้อโอมิครอน
โอลิเวเยร์ เวรอง รัฐมนตรีสาธารณสุขฝรั่งเศส เตือนว่าฝรั่งเศสอาจได้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อกว่า 250,000 รายต่อวันภายในต้นเดือนมกราคมนี้ ขณะที่สมาพันธ์โรงพยาบาลฝรั่งเศส ก็เตือนว่า สัปดาห์ที่ยากลำบากที่สุดกำลังจะมาถึง
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีฌอง กัสเต็กซ์ ผู้นำฝรั่งเศส ประกาศมาตรการคุมเข้มครั้งใหม่ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ รวมทั้งให้ประชาชนทำงานจากบ้านอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์สำหรับลักษณะงานที่สามารถทำได้นับจากต้นเดือนมกราคม พร้อมกันนั้น ก็ยังเร่งฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิด้วย ซึ่งจนถึงขณะนี้ มีผู้เข้ารับวัคซีนกระตุ้นภูมิแล้วมากกว่า 23 ล้านคน
—————
แปล-เรียบเรียง: ภัทร จินตนะกุล
ภาพ: Reuters