รัฐบาลเปิดแพ็กเกจ 'ไทยแลนด์พลัส' หวังดึงนักลงทุนต่างชาติ
รัฐบาลเตรียมเดินหน้าแพ็กเกจ 'ไทยแลนด์พลัส' หลังที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบแล้ว คาดหวังดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่ม
วันนี้( 11 ก.ย. 62) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวานนี้ มีมติเห็นชอบมาตรการ Thailand Plus Package ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และหน่วยงานรับผิดชอบ ประกอบ 7 ด้าน คือ 1.ด้านสิทธิประโยชน์ โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เพื่อเร่งรัดการลงทุน โดยลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 5 ปี สำหรับโครงการที่มีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 โดยต้องยื่นคำขอรับการส่งเสริมภายในปี 2563
2.กระบวนการตัดสินใจ โดยให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน และประสานงานการลงทุน เป็นต้น
3.ด้านคน มาตรการสนับสนุนการฝึกอบรมแรงงาน โดยให้ผู้ประกอบการนำเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมที่เข้าข่ายเป็น Advanced Technology ไปหักค่าใช้จ่ายได้ 250% ระหว่างปี 2562-2563 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้รับรองก่อนใช้สิทธิ์ รวมทั้ง ยังให้ผู้ประกอบการนำเงินลงทุน หรือค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมที่เข้าข่ายเป็น Advanced Technology ไปคำนวณรวมเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็น 2 เท่า ในกรณีของโครงการลงทุนใหม่ และโครงการลงทุนเดิมที่ยังได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่ ด้านมาตรการสนับสนุนการจ้างงานใหม่ที่เป็นบุคลากรทักษะสูง โดยให้ผู้ประกอบการนำค่าใช้จ่ายการจ้างงานใหม่ที่เป็นบุคลากรทักษะสูงไปหักค่าใช้จ่ายได้ 150% ระหว่างปี 2562-2563 เป็นต้น
4.Ease of Doing Business โดยเร่งปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นอุปสรรคและข้อจำกัดการลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงพิจารณานำเสนอแนวทางลดข้อจำกัดและแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านการลงทุน ผ่านกลไกเหมาะสม
5.ที่ดิน โดยจัดหาและพัฒนาพื้นที่เฉพาะเพื่อรองรับการลงทุน ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติแต่ละประเทศเป็นการเฉพาะ
6.ด้านตลาด ให้พิจารณาสรุปผลการศึกษา และดำเนินกระบวนการภายใน เพื่อให้ได้ข้อสรุปเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูและการเข้าร่วม CPTPP เป็นต้น
และ 7.ด้านห่วงโซ่อุปทาน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ เห็นควรให้กำหนดมาตรการคลังเพิ่มเติม โดยให้หักเงินลงทุนด้านระบบอัตโนมัติได้ 200% ระหว่างปี 2562-2563 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอาจมอบหมายให้ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในประเทศไทยภายใต้สถาบันไทย-เยอรมันเป็นผู้รับรองก่อนใช้สิทธิ์
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการด้านการตลาดเชิงรุกที่จะจัดทีมบูรณาการชักจูงโครงการย้ายฐานการลงทุน พร้อมจัดทำข้อมูลประกอบการชัดจูงเฉพาะราย รวมถึงประชาสัมพันธ์โดยเน้นพื้นที่เป้าหมาย เช่น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี ทั้งนี้ ขอให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศไทยเพิ่มเติม ประมาณ 50 ล้านบาท จากกรอบงบประมาณปี 2563