เงินเฟ้อกดดัน "ค่าจ้าง" แรงงานในเอเชีย ขยับสูงขึ้นในปี 66
ค่าแรงของแรงงานในเอเชีย ปี 2566 มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสูงต่อเนื่อง กดดันให้บริษัทต่างๆ ปรับขึ้นเงินเดือนตามไปด้วย
สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ว่า ตามข้อมูลของ New York Stock Exchange-listed บริษัท Aon (เอออน) บริษัทบริหารความเสี่ยงระดับโลก พบว่าแรงงานในเอเชียได้เห็นการปรับขึ้นเงินเดือนที่มากขึ้นในปี 2566 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่องและภาวะแรงงานตกต่ำ สร้างแรงกดดันต่อค่าจ้าง
ตั้งแต่อินเดียไปจนถึงเวียดนาม นายจ้างถูกบังคับให้ปรับขึ้นค่าตอบแทนหรือเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถให้กับคู่แข่ง การปรับขึ้นค่าจ้างที่คาดว่าจะเป็นไปตามการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2566 ทำให้เกิดความหวังสำหรับการเติบโตของรายได้ที่แท้จริงในเอเชียหลังจากค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นในปี 2565
โดยงบประมาณการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยในอุตสาหกรรมต่างๆ ในปี 2566 คาดการณ์ไว้ที่อินโดนีเซีย ร้อยละ 6.8 มาเลเซีย ร้อยละ 5.1 ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 6 สิงคโปร์ ร้อยละ 4.7 ไทย ร้อยละ 5.1 และเวียดนาม ร้อยละ 7.9 ซึ่งตัวเลขทั้งหมดนี้เกินอัตราปี 2565 ยกเว้นของมาเลเซียที่ทรงตัว
ราหุล ชวาลา หัวหน้าฝ่ายโซลูชั่นทุนมนุษย์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Aon กล่าวว่า บริษัทต่างๆ ต้องกำหนดแนวทางการขึ้นเงินเดือนในปี 2566 ในบริบทของความสามารถในการแข่งขันของระดับเงินเดือนปัจจุบัน ในขณะที่ธุรกิจจำเป็นต้องกำหนดและปรับเปลี่ยนค่าจ้างสำหรับประเภทของพนักงานและลักษณะของงานที่แตกต่างกัน องค์กรต่างๆ จะต้องมีความคล่องตัวในขณะที่ทบทวนหลักการจ่ายใหม่
ขณะที่ ผลการสำรวจโดยที่ปรึกษา Mercer ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ยังพบสัญญาณการปรับขึ้นค่าจ้างในปี 2566 ทั่วทั้งตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทต่างๆ คาดการณ์ว่าเงินเดือนโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ร้อยละ 4.8 ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ร้อยละ 4.6 ในปี 2565
อย่างไรก็ตาม การสำรวจของ Mercer แสดงให้เห็นความแตกต่างในแต่ละประเทศว่า อินเดียมีการขึ้นเงินเดือนสูงสุดในปี 2566 ที่ ร้อยละ 9.1 ขณะที่ญี่ปุ่น ร้อยละ 2.2 ต่ำที่สุด ถึงกระนั้นตัวเลขทั้งสองก็ยังสูงกว่าปี 2565 เล็กน้อย
ขณะที่จีนปรับขึ้นที่ ร้อยละ 5.38 เป็นตลาดเดียวที่คาดการณ์ว่าจะลดลงเล็กในปี 2566 จาก ร้อยละ 5.4 ในปี 2565 เนื่องจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียกำลังต่อสู้กับแนวโน้มการเติบโตที่ซบเซา
ที่มาข้อมูล : TNN ONLINE
ที่มาภาพ : TNN