"แดเนียล เครก" เผยผ่านสื่อเป็นครั้งแรกถึงสาเหตุที่แท้จริงในการหันหลังให้บท "เจมส์ บอนด์"

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมามากมายเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ ""แดเนียล เครก" (Daniel Craig) ตัดสินใจเล่นหนัง "เจมส์ บอนด์" "No Time To Die" เป็นตอนสุดท้าย แต่ล่าสุด "แดเนียล เครก" ก็ได้เผยถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เขาตัดสินใจยุติการสวมบทเป็นสายลับ 007 เป็นครั้งแรกผ่านการให้สัมภาษณ์กับทางนิตยสาร "Candis" ว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขายุติบทบาทการสวมบทเป็น "เจมส์ บอนด์" ทั้งๆที่ลึกๆแล้วในใจก็อยากที่จะสวมบทเป็นสายลับเจ้าเสน่ห์ต่อไปนั้นเป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับมาตลอดในการเล่นหนัง "เจมส์ บอนด์" มาแล้วหลายตอน

"แดเนียล เครก" สวมบทเป็น "เจมส์ บอนด์" เป็นครั้งแรกแรกในตอน "Casino Royale" เมื่อปี 2006 และสวมบทเป็นสายลับ 007 มาอีกหลายตอนจนมาถึงตอนล่าสุด "No Time To Die" ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายที่สหราชอาณาจักรในวันที่ 30 กันยายน หลังจากนั้นจะเข้าฉายในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 8 ตุลาคมปีนี้หลังจากที่มีการเลื่อนการเข้าฉายมาแล้วหลายครั้งอันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 โดยการสวมบทเป็น "เจมส์ บอนด์" เป็นระยะเวลานานถึง 15 ปีทำให้ "แดเนียล เครก" ครองสถิติการสวมบทเป็นสายลับ 007 นานที่สุดแซงหน้านักแสดงผู้ล่วงลับเจ้าของสถิติเดิมอย่าง "โรเจอร์ มัวร์" (Roger Moore) ไปได้

"แดเนียล เครก" ได้รับบาดเจ็บจากการถ่ายทำหนัง "เจมส์ บอนด์" มาแล้วทุกตอน เนื่องจากเขามักจะเข้าฉากถ่ายทำฉากแอ็คชั่นด้วยตัวเอง โดยใช้สตันท์แทนให้น้อยที่สุด ซึ่ง "แดเนียล เครก" เคยผิดคิวถึงขั้นฟันหักเสียฟันไป 2 ซี่กลางกองถ่ายมาแล้ว โดย "แดเนียล เครก" เผยว่าเขาชอบเล่นฉากแอ็คชั่นเสี่ยงเจ็บตัวซึ่งก็ทำให้เขาเจ็บตัวจริงๆด้วยตัวเอง เพราะเขาเป็นคนที่ชอบออกกำลังเพื่อฟิตซ้อมร่างกายเป็นประจำอยู่แล้ว แต่คิวบู๊เป็นสิ่งที่ควบคุมให้ถูกต้องแบบเป๊ะๆได้ยาก ซึ่งก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง นอกจากนี้ "แดเนียล เครก" ก็ยังมีอายุ 53 ปีแล้ว ส่งผลให้ร่างกายของเขาไม่ฟิตเหมือนสมัยที่ยังสวมบทเป็น "เจมส์ บอนด์" ในตอนแรกที่แสดงและในตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะมีนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษคนอื่นที่จะมาสวมบทเป็น "เจมส์ บอนด์" แทนเขาเสียที