ตามติดความเคลื่อนไหวรายใหญ่ในบิตคอยน์ เพื่อการวิเคราะห์ที่เหนือกว่า!โดย Zipmex
ตามติดความเคลื่อนไหวรายใหญ่ในบิตคอยน์เพื่อการวิเคราะห์ที่เหนือกว่า โดย เอกราช ศรีศุภวิชากิจ Head of Risk Management & Research Specialist Zipmex
ในโลกของการลงทุนต่างกับการแข่งขันกีฬาตรงที่ไม่มีการแบ่งอายุ น้ำหนัก ประสบการณ์ ไม่มีการบอกว่าถ้าเราเพิ่งเริ่มต้น เงินลงทุนน้อย ให้เทรดในสนามนี้ ถ้ามีประสบการณ์มากขึ้น เงินเยอะขึ้นให้เทรดอีกสนามหนึ่ง เพราะโลกการลงทุนจะมือใหม่มือเก๋าก็รวมอยู่ในที่เดียวกันนี่แหละครับ รายใหญ่ขนาดกองทุนรวมระดับโลกหรือเพิ่มเริ่มลงทุนด้วยเงิน 1,000 บาทก็อยู่ที่เดียวกันหมด ในบทความนี้เราจะมาอธิบายถึงการจัดกลุ่มนักลงทุนในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วในช่วงที่ผ่านมาพวกเขา Action กับสินทรัพย์ของตัวเองอย่างไรกันบ้าง
นักลงทุนรายใหญ่สำคัญอย่างไรต่อทิศทางราคา
สินทรัพย์ทุกชนิดหากพูดในเชิงเศรษฐศาสตร์คือราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงตามความต้องการซื้อ ความต้องการขาย อันนี้เป็นคำตอบที่เหมือนจะง่าย แต่สิ่งที่ยากขึ้นก็คือปัจจัยที่จะส่งผลให้นักลงทุนมีความต้องการซื้อ ต้องการขายสินทรัพย์ในวันนี้เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในอนาคตมีความสำคัญมาก หนังสือการลงทุนเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะวิเคราะห์แบบไหนก็ล้วนแล้วแต่พยายามหาคำตอบสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญรองลงมาคือเม็ดเงินหรือปริมาณของเม็ดเงินที่เคลื่อนย้ายไปมาในแต่ละช่วงเวลาซึ่งจะส่งผลต่อราคาเป็นอย่างมาก จึงได้มีการแบ่งกลุ่มของนักลงทุนออกเป็นหลายประเภทตามรูปแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น
1. นักลงทุนรายบุคคล
2. นักลงทุนสถาบัน
3. นักลงทุนต่างชาติ
4. Prop Trade
ซึ่งในทุกสิ้นวันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีการรายงานปริมาณการซื้อขายของคนแต่ละกลุ่มออกมาให้เราได้ติดตาม เพื่อที่อาจจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ แรงซื้อแรงขาย บางคนก็มองว่าอาจจะสามารถ “อ่านใจ” นักลงทุนที่เป็นรายใหญ่และคาดการณ์ราคาทิศทางสินทรัพย์ในอนาคตได้
บิตคอยน์ก็สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของรายใหญ่ได้เช่นกัน
ในงานวิจัยจากต่างประเทศมีการพยายามติดตามนักลงทุนรายใหญ่โดยคำว่ารายใหญ่นี้คือคนที่มี 100 BTC ขึ้นไป ราคาบิตคอยน์ตอนนี้อยู่ประมาณ 1,800,000 บาทต่อหนึ่งบิตคอยน์ ถ้า 100 บิทคอยน์ก็จะเป็นเงินประมาณ 180 ล้านบาทไทย ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้พยายามจะติดตามดู Fund Flow ที่เคลื่อนไปมาจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง หรืออาจจะนับจำนวนก็ได้ว่าจำนวน Address ที่ถือบิตคอยน์ตามเกณฑ์ดังกล่าวมีมากขึ้นหรือลดลง โดยมีการแบ่งกลุ่มดังนี้
1. Shrimps (<1 BTC)
2. Crab (1-10 BTC)
3. Octopus (10-50 BTC)
4. Fish (50-100 BTC)
5. Dolphin (100-500 BTC)
6. Shark (500-1,000 BTC)
7. Whale (1,000-5,000 BTC)
8. Humpback (>5,000 BTC).
(ภาพประกอบจาก Glassnodeที่แสดงถึง % ของจำนวนที่ถือครองบิตคอยน์ตามกลุ่มต่างๆ)
หากนับ Address ที่ถือบิตคอยน์ตั้งแต่ 100 บิทคอยน์ขึ้นไปจะสังเกตุเห็นว่าเค้าคุมอุปทานมากกว่า 50% ของจำนวนทั้งหมด ที่นี้เราอยากรู้มากขึ้นรึยังครับว่าในปีไตรมาสที่ผ่านของปี 2021 นี้พวกเขาทำอย่างไรกันบ้าง ซื้อเพิ่มขึ้นหรือขายออกตลอดทาง มาดูกันเลยครับ
ตามติดรายใหญ่ของบิตคอยน์เพื่อการวิเคราะห์ที่เหนือกว่า
นับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมปี 2020 ซึ่งตอนนั้นราคาบิตคอยน์อยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งบิตคอยน์โดยประมาณ เมื่อเทียบกับวันนี้ (30 มีนาคม 2021) ที่ราคาอยู่ที่ 58,000 เท่ากับขึ้นมาประมาณ 200% ภายในสามเดือน เรามาดูกันว่ารายใหญ่ๆ ที่เค้าเชื่อมั่นในบิตคอยน์มี Action อย่างไรกันบ้าง
- Octopus to Fish (10 ถึง 100 BTC) ลดการถือครองลง -56k BTC
- Dolphin to Shark (100 ถึง 1k BTC) เพิ่มการถือครองขึ้น + 331k BTC
- Whale to Humpback (1k ถึง 10k BTC) ลดการถือครองลง -307k BTC
- หากนำทั้งสามกลุ่มมาหักกลบกันจะพบว่าBTC ลดลงเล็กน้อยเพียว -32k คิดเป็นเพียง 0.24% ของอุปทานทั้งหมดที่ถือครองโดยกลุ่มที่เป็นรายใหญ่เหล่านี้ (คล้ายกับต่างชาติขายหุ้นไทยเมื่อหลายปีก่อนแล้วกองทุนรับซื้อแทนเลยครับ)
เมื่อนำพฤติกรรมราคาบิทคอยน์ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมามาประกอบจะพบอีกว่าแม้ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นก็จริง แต่มีลักษณะการสวิงขึ้นลงเป็นคลื่นใหญ่ๆ อยู่ถึงสามลูก
นั่นแสดงถึงพฤติกรรมการเปลี่ยนมือจากกลุ่มหนึ่งไปอีกกลุ่มหนึ่ง แม้หักกลบจะติดลบไม่เท่าไหร่แต่นั่นก็สะท้อนความคิดและความคาดหวังที่แตกต่างกันเพราะหากเรามองว่ามันจะขึ้นไปได้ต่อคงไม่ขายออกมากมายขนาดนี้ครับ
หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่เราแล้วว่าจะทำการบ้านอย่างไร จะพิจารณาอย่างไรต่อเงินและพอร์ตของเราในอนาคต นักลงทุนรายใหญ่มีการทำการบ้านอย่างหนักเพราะการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งไม่สามารถทำได้ง่ายๆ ต้องใช้เวลา ใช้ต้นทุนการทำธุรกรรม เราในฐานะนักลงทุนรายบุคคลที่มีอิสระในการตัดสินใจ สะดวกในการเคลื่อนย้ายเงิน พูดง่ายๆ คือเข้าออกได้รวดเร็วกว่ารายใหญ่นั่นเอง ถ้าประกอบกับการทำการบ้านและศึกษาอย่างหนัก ผมเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างโอกาสในการลงทุนอย่างยั่งยืนได้แน่นอนครับ