TNN วัดพลัง 3 พรรคใหญ่ ในสนาม อบจ. ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบอย่างไร?

TNN

TNN Exclusive

วัดพลัง 3 พรรคใหญ่ ในสนาม อบจ. ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบอย่างไร?

วัดพลัง 3 พรรคใหญ่ ในสนาม อบจ. ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบอย่างไร?

การเมืองท้องถิ่นปี 2568 กลายเป็นสมรภูมิแห่งดุลอำนาจ พรรคใหญ่ลงสนามชิงชัยนายก อบจ. และ ส.อบจ. วัดกระแสความนิยมก่อนศึกเลือกตั้ง สส. ปี 2570

สนามเลือกตั้งท้องถิ่น 2568 จุดเปลี่ยนการเมืองไทย


การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ "จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ" เมื่อการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 กลายเป็นสนามประลองที่มากกว่าการแข่งขันระดับท้องถิ่น แต่เป็นการวัดกระแสและความนิยมของพรรคการเมืองระดับชาติ


ปรากฏการณ์ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เริ่มต้นจาก "การลาออกก่อนครบวาระ" ของนายก อบจ. 27 จังหวัด ซึ่งนำไปสู่การเลือกตั้งในช่วงเวลาเดียวกันกับอีก 2 จังหวัดที่ศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ คือ กาฬสินธุ์และร้อยเอ็ด สถานการณ์นี้ได้สร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในวงการการเมืองท้องถิ่น


"สมรภูมิการเมืองท้องถิ่น" ครั้งนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อมี "สามขั้วอำนาจหลัก" เข้าร่วมชิงชัย ประกอบด้วย (1) พรรคเพื่อไทยที่ส่งผู้สมัคร 22 จังหวัด พร้อมระดมทีมหนักโดยมี "อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร" เป็นแม่ทัพใหญ่ในการหาเสียง (2) พรรคประชาชนที่ส่งผู้สมัคร 20 จังหวัด มุ่งเน้นพื้นที่ที่เคยได้คะแนนนำในการเลือกตั้ง สส. และ (3) เครือข่ายของพรรคภูมิใจไทยที่แม้ไม่ส่งในนามพรรค แต่มีฐานเสียงแข็งแกร่งโดยเฉพาะในภาคอีสาน


"กลยุทธ์การหาเสียง" ของแต่ละฝ่ายสะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์และจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกัน พรรคเพื่อไทยใช้จุดแข็งจากการเป็น "พรรคแกนนำรัฐบาล" เน้นการเชื่อมโยงท้องถิ่นกับส่วนกลาง นำเสนอนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เช่น การแจกเงิน 10,000 บาทให้ผู้สูงอายุ การลดค่าไฟฟ้า และโครงการ "หนึ่งอำเภอหนึ่งติ๊กต็อกเกอร์" ที่มุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น


ส่วนพรรคประชาชนเลือกสู้ในพื้นที่ที่มีฐานเสียงเดิมจากการเลือกตั้ง สส. โดยเฉพาะจังหวัดขนาดเล็กที่มีไม่เกิน 3 เขตเลือกตั้ง เช่น ตราด สมุทรสาคร และนครนายก ขณะที่เครือข่ายภูมิใจไทยอาศัยความสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองท้องถิ่นและบ้านใหญ่เป็นฐานสำคัญ


ความได้เปรียบเสียเปรียบ 3 พรรคใหญ่ในสนาม อบจ.


จากการวิเคราะห์ของนักวิชาการด้านการเมืองท้องถิ่นระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หลายพื้นที่ ด้วยปัจจัยสำคัญสามประการ ได้แก่ การมีเครือข่ายกลุ่มการเมืองท้องถิ่นที่เข้มแข็ง การเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และการได้รับการสนับสนุนจากแกนนำที่มีบารมีในพื้นที่


อย่างไรก็ตาม ในบางจังหวัดการแข่งขันมีความเข้มข้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานอย่างนครพนมและศรีสะเกษ ที่ผู้สมัครจากเครือข่ายพรรคภูมิใจไทยมีฐานเสียงแข็งแกร่ง ขณะที่พรรคประชาชนแม้อาจไม่ได้ตำแหน่งนายก อบจ. แต่มีโอกาสได้ที่นั่ง ส.อบจ. กระจายในหลายพื้นที่ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างฐานทางการเมืองระดับท้องถิ่นต่อไป


อำนาจ อิสระ และความโปร่งใส


ประเด็นที่น่าติดตามคือผลกระทบต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เมื่อพรรคการเมืองระดับชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จะส่งผลอย่างไรต่อความเป็นอิสระในการบริหารงานท้องถิ่น? และจะกระทบต่อการตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่หรือไม่?


อีกประเด็นสำคัญคือเรื่องความโปร่งใสในการบริหารงาน จากข้อมูลขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) พบว่าในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีคดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในองค์การบริหารส่วนจังหวัดมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 377 ล้านบาท การเข้ามาของพรรคการเมืองระดับชาติจะช่วยยกระดับมาตรฐานการบริหารงานให้โปร่งใสขึ้นได้หรือไม่?


นอกจากนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ยังอาจเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับการเลือกตั้งระดับชาติในปี 2570 โดยเฉพาะการวัดกระแสความนิยมของพรรคการเมืองในแต่ละพื้นที่ และความสำเร็จของนโยบายรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไปแล้ว


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนควรพิจารณาคือ ผู้สมัครแต่ละคนมีวิสัยทัศน์และความสามารถในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างไร มากกว่าการมองเพียงสังกัดพรรคการเมือง เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเมืองท้องถิ่นควรเป็นเวทีที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง


การเมืองภาคเหนือในมิติใหม่ จากอิทธิพลสู่อิสระทางความคิด


สถิติที่น่าสนใจจากการสำรวจของนิด้าโพลในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย สะท้อนให้เห็นผลกระทบของการปราศรัยหาเสียงโดยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยในเชียงใหม่ พบว่า 37.11% ระบุไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ขณะที่ 23.24% ระบุว่ามีผลต่อการตัดสินใจเลือกผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ตัวเลขนี้สะท้อนว่าแม้อิทธิพลของอดีตนายกฯ จะยังมีอยู่ แต่ประชาชนมีอิสระทางความคิดมากขึ้น


นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับชาติเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อผลสำรวจชี้ว่าผลการเลือกตั้ง อบจ. อาจส่งผลต่อการเลือกตั้ง สส. ในอนาคต โดยในเชียงใหม่ 28.87% ระบุว่าส่งผลมาก และในเชียงราย 25.95% มีความเห็นในทิศทางเดียวกัน


ปรากฏการณ์ที่น่าจับตาอีกประการคือการผสานความร่วมมือระหว่างพรรคการเมือง ดังจะเห็นได้จากงานมงคลสมรสระหว่าง สส. จากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ที่มีทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร่วมงาน สะท้อนความเป็นไปได้ของความร่วมมือทางการเมืองในอนาคต


อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของการเมืองท้องถิ่นยังคงอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของท้องถิ่นและนโยบายระดับชาติ รวมถึงการรักษาความเป็นอิสระในการบริหารงานท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างกลไกตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการทุจริต


การเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการเลือกผู้บริหารท้องถิ่น แต่ยังเป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาการเมืองไทยในระยะยาว คำถามสำคัญคือ การมีส่วนร่วมของพรรคการเมืองระดับชาติจะช่วยยกระดับการพัฒนาท้องถิ่นได้จริงหรือไม่ และจะรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของท้องถิ่นกับนโยบายระดับชาติได้อย่างไร


คำถามที่น่าติดตามคือ การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาการเมืองท้องถิ่นที่ดีขึ้น หรือเป็นเพียงการเปลี่ยนขั้วอำนาจจากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น? 


คำตอบคงจะเริ่มปรากฏชัดหลังการนับคะแนนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ แต่ผลกระทบที่แท้จริงอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะเห็นผลชัดเจน


ผลการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ อาจไม่เพียงบ่งชี้ความนิยมทางการเมืองในแต่ละพื้นที่ แต่ยังจะเป็นบทพิสูจน์ว่าการเมืองท้องถิ่นไทยพร้อมที่จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญหรือไม่


ภาพ พรรคเพื่อไทย 

เรียบเรียงโดย: ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ Website TNN 

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง