ขโมยรองเท้าหน้าโบสถ์: สัญญาณเตือน 'กับดักยากจน' สังคมสูงวัยไทย
ข่าวลุงขโมยรองเท้าหน้าโบสถ์สะท้อนปัญหา 'กับดักยากจน' ในสังคมสูงวัยไทย สวัสดิการไม่พอเพียง บำนาญไม่พอกิน รายได้ไม่พอใช้ ทำให้ผู้สูงอายุไทยกว่า 760,000 คน ต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน เราจะช่วยกันแก้ปัญหานี้อย่างไร?
"ขโมยรองเท้าหน้าโบสถ์" สะท้อนความจริงอันแสนเจ็บปวดของผู้สูงวัยไทย
กรณีลุงวัย 69 ปี ถูกจับได้ว่าขโมยรองเท้าหน้าโบสถ์วัดสุทัศน์ฯ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ข่าวอาชญากรรมทั่วไป แต่เป็นภาพสะท้อนความยากลำบากที่ผู้สูงอายุไทยจำนวนมากต้องเผชิญ
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2564 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จำนวน 13,358,751 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 19.6 ของประชากรทั้งหมด และจากรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2566 ของกรมกิจการผู้สูงอายุ ระบุว่าในปี พ.ศ. 2564 มีผู้สูงอายุที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน 760,400 คน คิดเป็นร้อยละ 5.7 ของผู้สูงอายุทั้งหมด ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาความยากจนในกลุ่มผู้สูงวัยที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือจากการสำรวจของกรมกิจการผู้สูงอายุ พบว่าผู้สูงอายุถึงร้อยละ 40 มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย และร้อยละ 32 ไม่มีเงินออมเลย นี่คือความจริงอันแสนเจ็บปวดของคนชราจำนวนมาก เมื่อชีวิตทั้งชีวิตทำงานหนัก แต่เมื่อแก่ตัวลง กลับต้องเผชิญกับความยากไร้และไม่มีความมั่นคงทางการเงิน สภาพ "แก่ก่อนรวย" กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคมไทยต้องเร่งแก้ไข
"เมื่อรองเท้าหายไป: ถึงเวลาสังคมไทยต้องช่วยกันแก้ปัญหา 'จนก่อนแก่'"
การขโมยรองเท้าเพื่อนำไปขาย ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า มีผู้สูงอายุอีกมากที่กำลังตกอยู่ในวังวนของความยากจน หลุดออกมาไม่ได้ ความแออัดคับขันทางการเงิน ไม่เพียงผลักดันให้หันไปก่อเหตุร้าย แต่ยังฉุดรั้งคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยให้ย่ำแย่ลง
ต้นตอของปัญหามีอยู่หลายประการ ทั้งเงินบำนาญที่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และระบบสวัสดิการที่เข้าไม่ถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ทำให้ผู้สูงอายุที่ยากจนต้องเผชิญความเสี่ยงที่จะกระทำผิดกฎหมาย
และไม่เพียงเรื่องการเงิน ค่านิยมและทัศนคติที่เปลี่ยนไปของสังคม ที่มองผู้สูงอายุเป็นภาระ ขาดความเคารพและให้คุณค่า รวมถึงการละเลยจากครอบครัวและชุมชน ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำลายสภาพจิตใจและคุณภาพชีวิตของคนชรา
หากจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างยั่งยืน คงไม่มีใครสามารถฝ่าฟันได้โดยลำพัง หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม
ในระดับนโยบาย รัฐบาลต้องเร่งปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมให้ตอบโจทย์ผู้สูงอายุมากขึ้น ทั้งการเพิ่มเงินบำนาญ และการจัดสรรสวัสดิการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย
ภาคธุรกิจเอกชนและประชาสังคม สามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสการทำงานที่เหมาะสมและมีคุณค่าแก่ผู้สูงวัย ทั้งงานประจำและงานฟรีแลนซ์ นอกจากจะช่วยสร้างรายได้เสริมแล้ว ยังทำให้พวกเขารู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น และลดปัญหาสุขภาพจากการขาดกิจกรรม
นอกจากนี้ การสร้างความตระหนักในคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ การส่งเสริมให้ครอบครัวและชุมชนร่วมกันดูแลคนชราอย่างใกล้ชิด จะช่วยสร้างสังคมแห่งความเอื้ออาทรและไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในส่วนตัวของทุกคน การเตรียมความพร้อมวางแผนการเงิน สะสมเงินออมเพื่อใช้จ่ายยามชรา ตั้งแต่ตอนหนุ่มสาวยังแข็งแรง จะช่วยป้องกันไม่ให้ตกอยู่ในความยากไร้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ หลายคนอาจคิดว่า "ตายไปก็ไม่เอาไปด้วยหรอก" แต่การมีหลักประกันในบั้นปลายที่มั่นคง จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตดี ใช้ชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ต้องเป็นภาระของลูกหลาน
ความยากจนในวัยชรา เป็นปมปัญหาที่ซับซ้อน แต่ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขไม่ได้ หากเราทุกคนช่วยกัน หยิบยื่นโอกาสให้คนชรายากไร้ ร่วมสร้างสังคมที่ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและศักดิ์ศรี นั่นคือประเทศไทยที่พัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต่อให้เปราะบางและอ่อนแอเพียงใด
คงไม่มีใคร "ชรา" โดยไม่มีความวิตกกังวล แต่ในฐานะ "สังคม" เราสามารถร่วมกันเติมเต็มความอุ่นใจให้แก่ทุกวัย ว่าเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ เราจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ ไม่โดดเดี่ยว มีคนค่อยห่วงใย และไม่ต้องอับจนจนต้องหันไปก่อเหตุร้ายเพราะความสิ้นหวัง
เรื่องราวแห่งรองเท้า จึงไม่ใช่เพียงข่าว ที่ผ่านตาไป หากแต่เป็นการเตือนสติและปลุกเราให้ตื่นขึ้น เพื่อร่วมกันพลิกฟื้นชีวิตที่งดงามสำหรับคนชราทุกคน เพื่อสร้างสังคมไทยแห่งความเท่าเทียมและยั่งยืน ไปด้วยกัน
ภาพ : Gettyimages เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN
ข่าวแนะนำ