TNN ไทยเตรียมรับมือน้ำท่วมปี 67 แผนเชิงรุก สู่การลดผลกระทบ

TNN

TNN Exclusive

ไทยเตรียมรับมือน้ำท่วมปี 67 แผนเชิงรุก สู่การลดผลกระทบ

ไทยเตรียมรับมือน้ำท่วมปี 67 แผนเชิงรุก สู่การลดผลกระทบ

ไทยเผชิญวิกฤตน้ำท่วมปี 67 อ่านแผนรับมือเชิงรุก บูรณาการแก้มลิง เร่งขุดลอกคูคลอง พร้อมสร้างการรับรู้สู่ประชาชน ร่วมมือลดความเสียหายจากภัยพิบัติครั้งนี้

ประเทศไทยเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมปี 2567


ในปี 2567 ประเทศไทยมีแนวโน้มเผชิญกับสถานการณ์อุทกภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ" ที่สำคัญของประเทศ ทางสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้ร่วมกันวางแผนรับมือเชิงรุก เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น


สถานการณ์น้ำและการคาดการณ์


จากการรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าปรากฏการณ์ลานีญาจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในปีนี้ โดยปริมาณฝนจะตกหนักเป็นพิเศษในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และจะมีน้ำท่าไหลลงอ่างเก็บน้ำของเขื่อนใหญ่ในภาคเหนือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ขณะนี้ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักจะอยู่ที่ 41% และยังสามารถรับน้ำได้อีกมาก แต่ สทนช. ประเมินว่า เมื่อสิ้นสุดฤดูฝนปริมาณน้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 69% ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดน้ำล้นตลิ่งในบางพื้นที่


มาตรการเตรียมพร้อมรับมือ


สทนช. ได้กำหนดมาตรการเตรียมความพร้อม 10 ข้อ และสั่งการให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญกับมาตรการที่ 2 คือการทบทวนและปรับปรุงแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยใช้หลักการสำคัญคือ ต้องกักเก็บน้ำในพื้นที่ตอนบนให้ได้มากที่สุด ก่อนจะค่อยๆ ระบายลงสู่ที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง


แผนบริหารจัดการน้ำหลาก


- เริ่มจากพื้นที่แก้มลิงทุ่งบางระกำ 265,000 ไร่ ใน จ.สุโขทัย และ จ.พิษณุโลก ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้ 400 ล้าน ลบ.ม. โดยชาวนาจะต้องเก็บเกี่ยวข้าวให้เสร็จภายในวันที่ 1-15 ส.ค. เพื่อใช้พื้นที่รับน้ำหลากที่จะมาถึง

- ต่อมาเป็นการผันน้ำเข้าไปเก็บในบึงราชนก จ.พิษณุโลก ซึ่งจะช่วยหน่วงน้ำได้ 28.85 ล้าน ลบ.ม. และบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ อีก 100 ล้าน ลบ.ม. 

- เมื่อปริมาณน้ำเริ่มไหลลงมาถึงพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ทาง สทนช.จะวางแผนบริหารจัดการ โดยใช้เขื่อนเจ้าพระยาช่วยหน่วงน้ำ แล้วเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำ ผ่านแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน้อย และคลองชัยนาท-ป่าสักให้ได้มากที่สุด


แนวโน้มน้ำท่วมในปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2554 มีความแตกต่างกันดังนี้:


ปริมาณฝน


ปี 2554: ปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดมหาอุทกภัย

ปี 2567: คาดการณ์ว่าปริมาณฝนจะมากกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่สูงเท่าปี 2554 โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน


ปริมาณน้ำในเขื่อน


ปี 2554: ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้มีความสามารถในการรับน้ำได้มากกว่า

ปี 2567: ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยและสูงกว่าปี 2554 ทำให้ความสามารถในการรับน้ำลดลง และมีความเสี่ยงที่จะต้องระบายน้ำออกมากขึ้นหากมีฝนตกหนักต่อเนื่อง


การบริหารจัดการน้ำ


ปี 2554: การบริหารจัดการน้ำอาจมีข้อจำกัดและประสบปัญหาในการรับมือกับสถานการณ์ที่รุนแรงและไม่คาดคิด

ปี 2567: มีการวางแผนและเตรียมความพร้อมที่ดีขึ้นกว่าปี 2554 โดยมีการปรับปรุงแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และมีการใช้พื้นที่แก้มลิงเพื่อรองรับน้ำหลาก



ถึงแม้ว่าปริมาณฝนในปี 2567 อาจไม่สูงเท่าปี 2554 แต่ปริมาณน้ำในเขื่อนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและสูงกว่าปี 2554 อาจทำให้เกิดความเสี่ยงน้ำท่วมได้ง่ายขึ้นหากมีฝนตกหนักต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการน้ำที่ดีขึ้นและการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าอาจช่วยลดความรุนแรงของสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2567 ได้


การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน

นอกจากมาตรการเชิงวิศวกรรมแล้ว สิ่งสำคัญคือการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สทนช.จะลงพื้นที่พบปะชาวบ้านเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และรับฟังความคิดเห็น เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการน้ำที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และปรับแผนงานให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นมากที่สุด


ด้วยสถานการณ์อุทกภัยที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในปี 2567 การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการวางแผนเชิงรุก การเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำหลาก และการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ จะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ โดย สทนช.จะเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแล และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน



อ้างอิง 

รัฐบาลไทย

สทนช. 
เรียบเรียง บรรณาธิการ TNN : ยศไกร รัตนบรรเทิง

ข่าวแนะนำ