รู้จัก ‘ความอ้วน’ ศัตรูตัวร้ายของคนทุกวัย นอกจาก ‘กินเยอะ’ เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดบ้าง?
ทำความรู้จัก ‘ความอ้วน’ ศัตรูตัวร้ายของคนทุกเพศ-ทุกวัย นอกจากการรับประทานเกินพอดีแล้ว สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง ?
คำว่า ‘อ้วน’ พูดเบาๆก็เจ็บ ปัญหาความอ้วนนอกจากจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ความอ้วน นั้นยังส่งผลต่อสุขภาพในบุคคลบางราย หรือ อาจเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคที่มีผลกระทบร้ายแรงตามมาได้ ดังนั้นการลดน้ำหนักจึงเป็นวิธีการขจัดปัญหาดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นในระยะยาว แต่ก่อนที่จะแก้ปัญหานั้นเราต้องศึกษากันก่อนว่า ความอ้วนนั้นปัญหาเกิดจากอะไร ? บางครั้งอาจจะไม่ได้มาจากการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว
สาเหตุที่ทำให้อ้วน
- อ้วนเพราะอายุเยอะขึ้น
เมื่อคนเราอายุเยอะขึ้น มวลกล้ามเนื้อที่น้อยลง ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ส่งผลไปถึง การดึงพลังงานจากอาหารที่รับประทานไปใช้งานช้าลง จึงทำให้เกิดไขมันสะสมไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- อ้วนเพราะความเครียด
เวลาคนเราเครียดนั้น เส้นประสาทได้รับความตึงเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากจนป่วนระบบร่างกาย ซึ่งถ้าหากมากจนเกินไป ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเผาผลาญมวลกล้ามเนื้อของเราไปพร้อมกับไขมัน เมื่อเราสูญเสียมวลกล้ามเนื้อมากไป ทำให้การเผาผลาญไขมันได้น้อยลง ส่งผลให้ร่างกายมีรูปร่างอ้วนมากขึ้น ฮอร์โมนตัวนี้ยังทำให้เราอยากกินของหวานๆมากขึ้น เวลาเครียดอีกด้วย
- อ้วนเพราะไม่ออกกำลังกาย
แคลอรีจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป การจะถูกเผาผลาญได้ จะต้องเกิดจากการออกกำลังกาย จะช่วยให้ร่างกายเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญได้ดียิ่งขึ้น การไม่ออกกำลังกายเลยส่งผลให้ร่างกายไม่เกิดการเผาผลาญ จนเป็นที่มาของความอ้วน
- อ้วนเพราะนอนหลับไม่เพียงพอ
ผู้ที่นอนไม่ตรงเวลา หรือนอนน้อย จะทำให้ระบบเผาผลาญเกิดการต่อต้านต่ออินซูลิน นอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานอีกด้วย
- อ้วนเพราะโรคที่เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์
ผู้ที่ป่วยเป็น ไฮโปไทรอยด์ ร่างกายจะทำงานได้ช้าลง เพราะ การผลิตฮอร์โมนเกี่ยวกับกาควบคุมการเผาผลาญออกมาน้อย
- อ้วนเพราะอุณหภูมิในสภาพอากาศที่ลดลง
เมื่ออากาศหนาวเย็น ร่างกายจะควบคุมอุณหภูมิในร่างกายอุ่นขึ้นเพื่อต้านอากาศที่หนาวเย็น โดยมีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น เมื่อมีการเผามาก เราก็กินมากตามไปด้วย บางทีเราก็อาจจะเพลินมากไปจนเกินความจำเป็น
- อ้วนจากพฤติกรรมการลดน้ำหนักอย่างผิดวิธี
ใครหลายๆคนเคยเป็นเมื่อต้องการลดความอ้วน เลยรับประทานอาหารน้อยลง หรือ รับประทานอาหารแบบไม่ครบ 5 หมู่ แม้แต่กระทั่งงดอาหารเช้า แม้ว่าจะทำให้เรารู้สึกผอมลงก็ตาม แต่จะส่งผลเสียต่อระบบการเผาผลาญแคลอรี ทำให้เรากลับมาอ้วนเหมือนเดิม
ความอ้วนมีกี่ประเภท?
โรคอ้วนที่ผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 2 ประเภท คือ
- อ้วนลงพุง เป็นการสะสมของไขมันบริเวณช่องท้องและอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ลำไส้ กระเพาะอาหารและอื่นๆ
- อ้วนทั้งตัว คือการมีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติ โดยมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งโดยเฉพาะ
แบบไหนถึงเรียกว่า ‘อ้วน’ แล้วนะ ต้องรีบลดด่วน
ความอ้วนนั้นเราสามารถวัดค่าได้ นอกจากคนทักแล้ว ยังสามารถทำได้ด้วยการคำนวนค่า ดัชนีมวลกาย - BMI โดยค่า BMI คือค่าดัชนีที่ใช้ชี้วัดความสมดุลของน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) และส่วนสูง (เซนติเมตร) ซึ่งสามารถระบุได้ว่า ตอนนี้รูปร่างของคนคนนั้นอยู่ในระดับใด ตั้งแต่อ้วนมากไปจนถึงผอมเกินไป
Body Mass Index (BMI) มีสูตรการคำนวณ = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม )/ ส่วนสูง ( เมตร ) ยกกำลังสอง สูตรคำนวณเหมาะสำหรับใช้ประเมินผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ประโยชน์ของการวัดค่า BMI เพื่อดูอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ตรวจสอบภาวะไขมันและความอ้วน ดังนั้นการทำให้ร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพในระยะยาว
สูตรคำนวณหาดัชนีมวลกาย มีดังต่อไปนี้
วิธีคำนวณ BMI ในการหาค่าดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว กิโลกรัม ÷ ส่วนสูง เมตร ยกกำลังสอง
ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิง น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ (1.60 * 1.60)
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ 2.56
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 19.5
เมื่อได้คำตอบค่าคำนวณดัชนีมวลกายแล้ว ให้นำตัวเลขนี้ไปเปรียบเทียบตารางเกณฑ์ BMI ตามเพศสภาพของตัวเอง หรือ ใช้โปรแกรมคำนวน คลิกที่นี่
30.0 ขึ้นไป = อ้วนมาก
ค่อนข้างอันตราย เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงที่แฝงมากับความอ้วน หากค่า BMI อยู่ในระดับนี้ จะต้องปรับพฤติกรรมการทานอาหาร และควรเริ่มออกกำลังกาย และหากเลขยิ่งสูงกว่า 40.0 ยิ่งแสดงถึงความอ้วนที่มากขึ้น ควรไปตรวจสุขภาพ และปรึกษาแพทย์
25.0 - 29.9 = อ้วน
อ้วนในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ถึงเกณฑ์ที่ถือว่าอ้วนมาก ๆ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วนได้เช่นกัน ทั้งโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ควรปรับพฤติกรรมการทานอาหาร ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพ
18.6 - 24 น้ำหนักปกติ = เหมาะสม
น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับคนไทยคือค่า BMI ระหว่าง 18.5-24 จัดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ห่างไกลโรคที่เกิดจากความอ้วน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ น้อยที่สุด ควรพยายามรักษาระดับค่า BMI ให้อยู่ในระดับนี้ให้นานที่สุด และควรตรวจสุขภาพทุกปี
น้อยกว่า 18.5 = ผอมเกินไป
น้ำหนักน้อยกว่าปกติก็ไม่ค่อยดี หากคุณสูงมากแต่น้ำหนักน้อยเกินไป อาจเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย การรับประทานอาหารให้เพียงพอ และการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มค่า BMI ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้
หลังจากสำรวจตนเองกันเรียบร้อยว่า ความอ้วน ที่เกิดขึ้นจากตนเองนั้น มาจากสาเหตุไหน และ เมื่อลองทำแบบทดสอบค่า BMI ของตนเองแล้วปรากฏว่าอ้วนจริงๆแบบไม่ได้มโน คงต้องพิจารณาแล้วว่าถึงเวลาจะต้องลดความอ้วนกำจัดศัตรูตัวร้ายตัวนี้ออกไปจากร่างกายได้แล้วหรือยัง?
ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ / โรงพยาบาลขอนแก่นราม /โรงพยาบาลบางปะกอก/โรงพยาบาลเพชรเวช /
ภาพจาก : AFP