Niantic เปิดตัวแพลตฟอร์ม Lightship สร้าง Metaverse บนโลกแห่งความเป็นจริง

เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเกม Pokemon Go! พัฒนาโดยค่าย Niantic ซึ่งตัวเกมก็มีความคล้ายกับการเป็นโลก Metaverse โดยการนำโปเกมอนจากในเกมขึ้นมาแสดงบนโลกจริงผ่านสมาร์ทโฟน จึงได้รับความนิยมจากแฟน ๆ เกมโปเกมอนทั่วโลก

แน่นอนว่าทาง Niantic ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ และต้องการสร้างโลก Metaverse ขึ้นมาจริง ๆ ล่าสุดทางค่ายได้เปิดตัวแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า Lightship ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มภายใต้คำกล่าวที่ว่า มันคือการเชื่อมต่อระหว่างโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริง

กระบวนการทำงานของ Lightship นั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากการทำงานของเกม Pokemon Go! หลัก ๆ คือแอปที่พัฒนาภายใต้แพลตฟอร์มนี้ จะใช้กล้องของสมาร์ทโฟนเล็งไปยังวัตถุหรือพื้นผิวบนโลกแห่งความเป็นจริง เช่น พื้นดินหรือผืนน้ำ จากนั้นตัวแอปจะคำนวณความลึกของภาพเพื่อวางวัตถุเสมือน (ในมุมมองที่มองผ่านแอป) ให้อยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด

หลักการจะคล้าย ๆ กับเล่นเกม Pokemon Go! ที่ผู้เล่นสามารถเปิดกล้องเพื่อจำลองการจับโปเกมอนในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ตัวแอปจากแพลตฟอร์ม Lightship จะถูกพัฒนาให้มีความแม่นยำในการคำนวณความลึกได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับผู้ผลิตอุปกรณ์แว่น AR เพื่อให้แอปเหล่านั้นสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น

ซึ่งแว่น AR นั้น จะมีบทบาทอย่างมากในอนาคตสำหรับการเปลี่ยนแปลงโลกเข้าสู่ยุคของ Metaverse เพราะเราแทบจะไม่ต้องใช้กล้องของสมาร์ทเพื่อวางวัตถุเสมือนจริงลงไป แต่สามารถมองผ่านเลนส์ของแว่น AR ได้ในทันที

นอกจากนี้ นักพัฒนาของ Niantic ยังกล่าวว่า การพัฒนาแพลตฟอร์ม Lightship ร่วมกับแว่น AR ยังมีข้อดีกว่าเครื่อง VR headset ของ Meta หรือ Facebook เดิม เนื่องจากว่าผู้ใช้งานไม่ต้องตัดตัวเองออกจากโลกแห่งความเป็นจริง (การใช้งาน VR headset จะต้องสวมเครื่องครอบศีรษะลงมาถึงดวงตาเพื่อเปลี่ยนให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวกลายเป็นโลกเสมือนจริงทั้งหมด) แต่ผู้ใช้งานแว่น AR สามารถมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงพร้อมนำตัวละครหรือสิ่งของจาก Metaverse ดิจิทัลมาอยู่พร้อม ๆ กันได้

ซึ่งนั่นเท่ากับว่าการใช้แว่น AR น่าจะเป็นการเชื่อมโลกแห่งความเป็นจริงเข้ากับโลกดิจิทัลของ Metaverse ได้ดีกว่า โดยที่ผู้คนยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้ดังเดิม นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบของ Lightship ที่จะพัฒนาร่วมกับแว่น AR นั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก The Verge