Microsoft เปิดตัว Copilot+ PC รวมปัญญาประดิษฐ์เข้ากับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป
Microsoft เปิดตัว Copilot+ PC รวมปัญญาประดิษฐ์เข้ากับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป พร้อมจับมือบริษัทพันธมิตรชั้นนำ เตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 18 มิถุนายนนี้
วันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา สัตยา นาเดลลา ซีอีโอบริษัท Microsoft เปิดตัว Copilot+ PC แบรนด์คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปใหม่ล่าสุด นับเป็นคอมพิวเตอร์ที่ทำงานได้เร็วที่สุดและฉลาดที่สุดเท่าที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นมา โดยนำเอาความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ AI เข้ามาทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows 11 ติดตั้งชิปประมวลผล Snapdragon X Elite 12 และ Snapdragon X Plus 10 หน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU) สำหรับใช้ประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ AI ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้งานกับซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบตเตอรี่รองรับการใช้งานแล็ปท๊อปได้นาน 15 ชั่วโมง
นอกจากนี้บริษัท Microsoft ยังได้จับมือร่วมกับบริษัทพันธมิตรอื่น ๆ เช่น Dell, Lenovo, Samsung, HP, Acer และ Asus เพื่อนำความสามารถของ Copilot+ PC ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของบริษัทพันธมิตร รวมไปถึงการเปิดตัว Surface Laptop และ Surface Pro รุ่นใหม่ เตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ส่วนรุ่นที่ใช้ชิปประมวล Intel และ AMD คาดว่าจะเปิดตัวตามหลังมาภายในปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายแล็ปท็อปที่ติดตั้งความสามารถแบบ Copilot+ PC ให้ได้เกิน 50 ล้านเครื่อง ภายในปี 2025
สำหรับฟีเจอร์สำคัญ ๆ ที่มีใน Copilot Plus PC เช่น Recall หรือ การค้นหาสิ่งที่ผู้ใช้งานได้เคยทำบนคอมพิวเตอร์คล้ายระบบความทรงจำย้อนหลัง โดยระบบจำทำการจดจำภาพหน้าจอที่เกิดขึ้นเพื่อทำความเข้าใจและบันทึกข้อมูลกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนเครื่องและเก็บข้อมูลเอาไว้นานประมาณ 3 เดือน โดยผู้ใช้งานสามารถปรับเวลาและตั้งค่าต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง
Cocreate การสร้างและแก้ไขรูปภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างภาพที่ตนเองต้องการได้ง่าย ๆ โดยการวาดเส้นคร่าว ๆ ระบบจะนำข้อมูลการวาดที่เกิดขึ้นไปสร้างรูปภาพใหม่ที่มีความสวยงาม โดยการประมวลผลที่เกิดขึ้นเป็นแบบเรียลไทม์ไม่ต้องใช้เวลานานด้วยพลังของปัญญาประดิษฐ์ AI
นอกจากนี้ยังมีความสามารถอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น Live Caption ซึ่งมีลักษณะเป็นการแปลงข้อความเสียงในเนื้อหาวิดีโอและแปลแบบเรียลไทม์เป็นซับไตเติลภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ รวม 44 ภาษา รวมไปถึงการเพิ่มความคมชัดในเกม การประชุมออนไลน์ เป็นต้น
ที่มาของข้อมูล Theverge, Blogs.Microsoft.com
ข่าวแนะนำ