การเก็บข้อมูลในอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) หรือเอสเอสดี (SSD) แม้ว่าจะสะดวกและเข้าถึงง่าย แต่อายุการใช้งานนั้นไม่เกิน 10 ปี หรืออาจจะน้อยกว่านั้นหากมีการใช้งานหนัก ซึ่งไม่เหมาะกับการทำระบบคลาวด์ (Cloud) หรือระบบสำรองข้อมูล (Backup system) ที่มีการใช้งานพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในปริมาณมหาศาลอยู่ตลอดเวลา สตาร์ตอัปจากฝรั่งเศสจึงพัฒนาอุปกรณ์ที่จัดเก็บข้อมูลเป็นรหัสพันธุกรรม (DNA) ที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 150 ปี ทดแทน

อุปกรณ์เก็บข้อมูลบน DNA

อุปกรณ์ดังกล่าวมีชื่อว่า ดีเอ็นเอ การ์ด (DNA Card) พัฒนาโดยบริษัท ไบโอเมมโมรี (Biomemory) จากฝรั่งเศส ตัวการ์ดจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แผ่น ในชุดอุปกรณ์ โดยข้อมูลที่เก็บได้จะต้องได้รับการแปลงจากข้อมูลปกติเป็นรหัสพันธุรกรรมด้วยอุปกรณ์พิเศษของไบโอเมมโมรีเสียก่อน

ในหลักการทางชีววิทยา รหัสพันธุกรรม (DNA) จะมีส่วนประกอบเป็นโปรตีนหลายประเภท แต่ทางไบโอเมมโมรีเลือกใช้สารที่มีชื่อว่า อะดีนีน (adenine: A), ไซโตซีน (cytosine: C), กวานีน (guanine: G), และไทมีน (thymine: T) เป็นรหัสแทนข้อมูล ก่อนนำรหัสที่เรียงต่อกันเป็นชุดไปสร้างเป็น DNA สังเคราะห์ขึ้นมา แล้วนำสารนั้นบรรจุในแผ่นวงกลมภายในตัวการ์ดโดยไม่ให้มีอากาศแทรกผ่านเข้าไป

สาเหตุที่ในชุดอุปกรณ์จะมีการ์ดมาให้ 2 ใบ เนื่องจากเมื่อต้องการใช้งานข้อมูล การ์ดใบหนึ่งจะต้องส่งกลับไปยังไบโอเมมโมรีเพื่อถอดรหัส (Decoding) เพื่อให้ได้รับตัวอักษรสำหรับส่งไปแปลงเป็นข้อมูลที่เก็บไว้อีกทีหนึ่ง ดังนั้น ตัวการ์ดที่เปิดให้อากาศเข้าแล้วจะไม่ได้รับกลับคืน เหลือเพียงการ์ดอีกใบเป็นสำเนา

ข้อจำกัดและอนาคตของการเก็บข้อมูลบน DNA

ดีเอ็นเอการ์ดในตอนนี้มีความสามารถในการเก็บข้อมูลเพียง 1 กิโลไบต์ (kB) เท่านั้น ซึ่งสามารถเก็บได้เพียงข้อความสั้น ๆ และไม่รองรับการเก็บข้อมูลอื่น ๆ ในปัจจุบัน แต่ทางไบโอเมมโมรีต้องการให้วิธีการเก็บข้อมูลด้วย DNA เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนทั่วไปมากขึ้นเป็นหลัก โดยมีราคาต่อชุดที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 35,000 บาท

ทั้งนี้ ในทางทฤษฎีแล้ว สารรหัสพันธุกรรมเพียง 1 กรัม ก็สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่า 215 ล้านกิกะไบต์ (GB) แต่ต้องอยู่ในระบบที่มีขนาดและน้ำหนักเท่ากับรถกระบะทั่ว ๆ ไป 2 คัน ในขณะที่ระบบเดิมถ้าต้องการเก็บข้อมูลในปริมาณเท่ากัน จะต้องใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 12,500 ตารางเมตร หรือคิดเป็นเกือบ 8 ไร่ ด้วยเหตุนี้ ระบบการเก็บข้อมูลด้วย DNA จึงเป็นหนึ่งในทิศทางการวิจัยที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน

ที่มาข้อมูล The Verge

ที่มารูปภาพ Biomemory