เจ้าพ่อ AI เตือน AI จะฉลาดกว่าคน ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงถ้าพัฒนาแบบไม่ระวัง
เจ้าพ่อแห่งวงการปัญญาประดิษฐ์ลาออกจากกูเกิล (Google) และออกมาเตือนว่า AI จะฉลาดกว่ามนุษย์ในอีกไม่ถึง 30 ปี พร้อมชี้ความเสี่ยงหากไม่รับมือให้ทัน
เจ้าพ่อ AI กับการพัฒนา AI
เจฟฟรีย์ ฮินตัน (Geoffrey Hinton) บุคคลที่ได้รับการขนามนามว่าเป็น "เจ้าพ่อ AI" (The Godfather of AI) ได้ลาออกจากกูเกิล (Google) หลังทำงานร่วมพัฒนาปัญญาประดิษฐ์มาตั้งแต่ปี 2012 และออกสื่อเพื่อเตือนว่าภัยจากเอไอนั้นจะมาเร็วกว่าที่ทุกคนคาดไว้ ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดที่มากกว่ามนุษย์และวิธีคิดที่ยังไม่มีวิธีรับมืออย่างสมบูรณ์แบบในตอนนี้
เจฟฟรีย์ ฮินตัน หรือเจ้าพ่อเอไอ มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้พัฒนาแบ็กพรอพพาเกชัน (Backpropagation) วิธีถ่ายทอดข้อผิดพลาดของค่ากำหนดย้อนหลังเพื่อปรับเวท (Weight - หรือค่ากำหนดในการใช้อัลกอริทึม) ของโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) ใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง (เปรียบเปรยเหมือนกับการที่มนุษย์เรียนรู้จากงานในอดีตและวางแผนในการทำงานใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ซึ่งเป็นชิ้นงานสำคัญที่ทำให้เขาสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกด้านปัญญาประดิษฐ์จากมหาวิทยาลัยโทรอนโต (University of Toronto) ในแคนาดาเมื่อปี 1978
หลักการแบ็กพรอพพาเกชัน (Backpropagation) ได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของอัลกอริทึม (Algorithm) หรือวิธีเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นหัวใจสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกในวันนี้ และทำให้เขาได้เริ่มทำงานพาร์ทไทม์ (Part-time) ให้กับกูเกิล (Google) บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมาตั้งแต่ปี 2012 เพื่อช่วยพัฒนาสมองกูเกิล (Google Brain) ปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยมานับแต่นั้น ทำให้เขาได้รับฉายาเจ้าพ่อเอไอในเวลาต่อมา
การลาออกจาก Google ของเจ้าพ่อ AI
เจ้าพ่อเอไอได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อดังทั้งเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส (The New York Times) และซีเอ็นบีซี (CNBC) ที่ส่งกระทบอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่เจ้าพ่อเอไอตกเป็นข่าวลาออกจากกูเกิล โดยเขาได้ออกมาชี้ให้นิวยอร์กไทม์สฟังว่า ในอนาคตมนุษย์จะแพ้ความฉลาดของเอไอในอนาคตอันใกล้นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 30-50 ปี
พร้อมกันนี้ เขาได้เล่าให้ซีเอ็นบีซีฟังว่า “ถ้าผมสร้างตัวตนดิจิทัล 1,000 ตัวตน ที่มีความรู้พื้นฐานต่างกัน ขอเพียงแค่ตัวเดียวที่เรียนรู้ได้ ทั้งหมดก็จะเรียนรู้ได้พร้อมกันทันที เพราะพวกมันแชร์เวท (Weight) ให้กัน” ซึ่งจุดนี้ต่างจากมนุษย์ที่มีองค์ความรู้และวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันและไม่สามารถส่งต่อความรู้กันได้โดยทันที ทำให้กระบวนการพัฒนาองค์ความรู้ของปัญญาประดิษฐ์นั้นเร็วกว่ามนุษย์อย่างมหาศาล
ตัวอย่างผลกระทบจาก AI ที่เจ้าพ่อ AI กังวล
ผลลัพธ์จากกระบวนการเรียนรู้ที่ใกล้ตัวอย่างคาดไม่ถึงก็คือ ด้วยฟีเชอร์ต่าง ๆ จากปัญญาประดิษฐ์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพ เทคโนโลยีดีปเฟค (Deepfake) ข้อมูลที่ถูกป้อนจากแชตบอตอย่างแชตจีพีที (ChatGPT) และบาร์ด (Bard) จากกูเกิล ทั้งหมดนี้กำลังหลั่งไหลเข้าสู่อินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งวันหนึ่งเราอาจต้องตั้งคำถามว่า ข้อมูลบนโลกยังเหลือสิ่งใดบ้างที่เป็นข้อเท็จจริงท่ามกลางข้อมูลที่มาจากการสังเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์
เจฟฟรีย์ ฮินตัน หรือเจ้าพ่อเอไอเคยออกมากล่าวในปี 2021 ว่าการเร่งการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์นั้นอาจนำไปสู่ทิศทางการเติบโตที่ขาดแผนรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงได้
อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้ลาออกจากกูเกิลมาเพื่อให้สัมภาษณ์โจมตีแต่อย่างใด แต่เป็นการลาออกจากความเคารพในบริษัทเนื่องจากไม่อยากให้การพูดของตนนั้นกระทบต่อชื่อเสียงบริษัท แต่อย่างไรก็ดี กูเกิลได้สูญเสียบุคลากรอันทรงคุณค่าในโครงการพัฒนาสมองกูเกิล (Google Brian) ไป หลังจากที่ทุ่มงบประมาณไปกว่า 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท ในการเข้าซื้อบริษัทที่เจฟฟรีย์ ฮินตันและลูกศิษย์ตั้งขึ้นมาในปี 2012 เพื่อพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ เจฟฟรีย์ ฮินตัน ได้กล่าวทิ้งท้ายในการสัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์สว่า
“ผมคิดว่าเหล่าบริษัทและนักวิจัยควรชะลอการพัฒนาเอไอไปก่อน จนกว่าจะรู้ว่าเรานั้นไม่ได้เล่นกับไฟอยู่”
ที่มาข้อมูล New York Times, CNBC, CNN
ที่มารูปภาพ Reuters
ข่าวแนะนำ
-
จีนเร่งพัฒนาจรวดขนส่งไปดวงจันทร์
- 20/6/67