ระวังปลิว ! Twitter อาจปลดเครื่องหมาย Bluecheck ยกเลิกการใช้บริการฟรีเร็ว ๆ นี้

นับตั้งแต่อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกผู้เป็นเจ้าของบริษัท เทสลา (Tesla) เข้าครอบครองบริษัททวิตเตอร์ (Twitter) แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมในช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมา เขาเริ่มปฏิบัติการสลายภาพจำในอดีตของเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ที่แจกจ่ายเครื่องหมายบลูเช็คยืนยันตัวบุคคลฟรี ๆ ไปเป็นเครื่องหมายแยกย่อยตามโปรไฟล์ของแต่ละบัญชี เช่น เครื่องหมายของบริษัทการค้า เครื่องหมายของผู้มีชื่อเสียง เครื่องหมายของสื่อมวลชน ทั้งนี้ มัสก์ยังพยายามให้โมเดลธุรกิจเก็บค่าใช้บริการเครื่องหมายยืนยันตัวตนคลอดออกมาอย่างจริงจังอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทวิตเตอร์ ได้ทวีตอัปเดตความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยระบุว่า "ในวันที่ 1 เมษายน ทวิตเตอร์จะเริ่มปลดเครื่องหมายบลูเช็คดั้งเดิมออกจากบัญชีต่าง ๆ” 

อีลอน มัสก์ ได้เปิดตัวทวิตเตอร์ บลู (Twitter Blue) อย่างเป็นทางการเมื่อปลายปีที่แล้ว และเปลี่ยนการให้เครื่องหมายบลูเช็คตามเกณฑ์ของทวิตเตอร์ก่อนหน้านี้เป็นระบบการสมัครสมาชิก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 84 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,894 บาท เพื่อเพิ่มกระแสรายรับ หลังจากบริษัทจำนวนมากยกเลิกการลงโฆษณากับทวิตเตอร์ เมื่ออีลอน มัสก์เข้าควบคุมกิจการ 

สำหรับทวิตเตอร์ บลู เปิดตัวในช่วงปี 2021 ก่อนอีลอน มัสก์จะเข้ามาควบคุมกิจการ และนับแต่เริ่มให้บริการ ผู้ใช้ทวิตเตอร์บลูก็เต็มไปด้วยนักปั่นที่จ่ายเงินสำหรับบัญชีปลอม และแสร้งเป็นบัญชีจริง เช่น การปลอมตัวเป็นอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์, เลอบรอน เจมส์ นักกีฬาบาสเกตบอล NBA ชื่อดัง รวมถึงนินเทนโด ผู้ผลิตเกมจากญี่ปุ่น

ด้านอีลอน มัสก์ ได้สั่งหยุดไม่ให้บริการ Twitter Blue เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์หลังจากเกิดเหตุการณ์อลหม่านขึ้น และเปิดให้ใช้งานเครื่องหมายทวิตเตอร์บลูอีกครั้งในเดือนธันวาคม โดยมีขั้นตอนเพิ่มเติมในการตรวจสอบและอนุมัติสมาชิก นอกเหนือจากเครื่องหมายติ๊กถูกแล้ว ทวิตเตอร์ บลู ยังยอมให้ผู้ใช้ที่จ่ายเงินแก้ไขทวีตได้สูงสุด 5 ครั้งภายในระยะเวลา 30 นาทีหลังทวีต นอกจากนั้นยังทวีตได้จำนวนข้อความสูงสุดที่ 4,000 ตัวอักษร และโพสต์วิดีโอความละเอียดสูงได้ 

ทวิตเตอร์ยังกล่าวอีกว่าผู้ใช้ทวิตเตอร์ บลู จะเห็นโฆษณาน้อยลง 50% ในไทม์ไลน์ของพวกเขา และทวีตของพวกเขาจะได้รับการจัดลำดับความสำคัญให้เห็นเป็นคอมเมนต์แรก ๆ ระหว่างการตอบกลับ การกล่าวถึง และการค้นหาอีกด้วย 

ที่มาของข้อมูล CNN

 ที่มาของรูปภาพ Reuters