กรมอนามัย แนะ "กินเจ 2564" ปีนี้ เลือกอาหารเจแบบไหน ไม่อ้วนแน่นอน
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยเชื้อสายจีน หรือสายรักสุขภาพ กินเจปีนี้ เน้นเลือกกิน ‘ผัก-ผลไม้-สมุนไพร’ เลี่ยงการกินแป้งให้กินแต่พอดี และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ 6- 8 แก้วต่อวัน
วันนี้ (10 ต.ค.64) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่าเทศกาลกินเจเริ่มขึ้นแล้ว ผู้บริโภคหลายคนเลือกกินอาหารหลากหลายประเภทและไม่เลือกกินอาหารบางประเภทที่ปรุงด้วยผักมีกลิ่นฉุนเผ็ดร้อน 5 ชนิด ได้แก่
1) กระเทียม
2) หัวหอม รวมไปถึง ต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่
3) หลักเกียว คือกระเทียมโทนจีน
4) กุ้ยช่าย
5) ใบยาสูบ
แต่ผู้กินเจสามารถเลือกกินผัก ผลไม้ อื่น ๆ เพื่อสร้างภูมิต้านทานแทนได้ เช่น กล้วยน้ำว้าสุก ธัญพืช มันเทศ ข้าวโพดหวาน หรือสมุนไพรที่ช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย เช่น ขิง ขมิ้นชัน มะระขี้นก
และควรเพิ่มการกินผักและผลไม้หลากหลายสีเข้าไปด้วย เช่น พริกหวาน ผักโขม ปวยเล้ง มะระขี้นก ผักหวาน ขี้เหล็ก มะเขือเปราะ มะนาว ฝรั่ง มะละกอ ส้มโอ ส้มเขียวหวาน เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินต่าง ๆ และเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยให้ร่างกายทำงานเป็นปกติและเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
ทั้งนี้ การกินเจที่ถูกหลักโภชนาการ ผู้บริโภคควรเลือกซื้อหรือปรุงอาหารเมนูประเภทยำ ต้ม นึ่ง ลดอาหารประเภทผัด ทอด และกินอาหารที่มีรสชาติปานกลาง ไม่หวาน มัน เค็มจัด เพราะส่วนใหญ่อาหารเจ มักออกไปทางมัน
เลือกกินอาหารเจประเภท ต้ม แกง ย่าง ยำ น้ำพริก กินข้าวแป้งแต่พอดี เลี่ยงอาหารแปรรูป ซึ่งอาหารเจส่วนใหญ่จะมีแป้งแฝง เช่น การใช้แป้งหมี่กึงมาทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ ซึ่งทำให้คาร์โบไฮเดรตเกิน
ในช่วงกินเจอาจทำให้รู้สึกหิวบ่อย ให้เลือกผลิตภัณฑ์นมจากพืชเสริม โดยเลือกชนิดไม่หวานจัด มีปริมาณโปรตีนและแคลเซียมเหมาะสม งดเครื่องดื่มที่มีรสหวาน น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง ไม่ควรเลือกกินเมนูอาหารชนิดเดิมซ้ำทุกวัน จะทำให้เกิดการสะสมสารพิษ และเกิดโรคได้
อีกทั้งควรใส่ใจเรื่องความสะอาดปลอดภัยวัตถุดิบที่นำมาปรุงประกอบอาหาร โดยเฉพาะจากพืชผักควรล้างให้สะอาดหรือเลือกใช้ผักปลอดสารพิษที่มีการรับรองโดยหน่วยงานภาครัฐจากแหล่งผลิตในการปรุงประกอบ อาหารเจแทนการใช้ผักที่มีความเสี่ยงปนเปื้อนสารพิษจะปลอดภัยกว่า สิ่งสำคัญหากในช่วงกินเจดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ใยอาหารเกาะตัวในร่างกายมาก อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ไม่สบายท้อง ได้ จึงควรดื่มน้ำให้ได้ 6-8 แก้วต่อวัน
ข้อมูลจาก กรมอนามัย
ภาพจาก TNN ONLINE