เปิดกลลวง “ชาล็อต ออสติน ” ถูกหลอกโอนเงิน 4 ล้าน มิจฉาชีพใช้วิธีไหน?
เปิดกลลวง “ชาล็อต ออสติน” ถูกหลอกให้โอนเงิน 4 ล้าน มิจฉาชีพใช้วิธีอะไร ในการบังคับเหยื่อ และ เราจะป้องกันตัวได้อย่างไร
ากกรณีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567 น.ส.ชาล็อต ออสติน นางงามเวทีมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่แนล (MGI) ได้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยถูกหลอกให้โอนเงินจำนวน 4 ล้านบาท หลังจากที่มิจฉาชีพแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกล่าวอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินของบริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) ซึ่งเป็นข่าวในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
น.ส.ชาล็อตเล่าว่าในวันที่เกิดเหตุ เธอได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกที่เธอคาดว่าอาจมาจากร้านค้าที่เธอได้ติดต่อไว้เพื่อออกใบกำกับภาษี เมื่อเธอรับสาย มิจฉาชีพได้แอบอ้างตัวว่าเป็นบุคลากรของ DSI พร้อมกล่าวหาว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน โดยอ้างว่าเธอเคยขายบัญชีให้กับผู้ต้องหาชื่อ นายศรัทธา และมีการโอนเงินเข้าบัญชีเธอเดือนละ 800,000 บาท แม้เธอจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจ แต่มิจฉาชีพได้นำข้อมูลคดีจริงมาแสดงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
มิจฉาชีพยังให้เธอโอนสายไปยังผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ และใช้วิธีการทางเทคนิคเพื่อบล็อกเบอร์โทรศัพท์อื่น ๆ ที่อาจพยายามติดต่อเธอ จากนั้นพวกเขาได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมผ่านแอปพลิเคชันไลน์และวิดีโอคอล พร้อมทั้งข่มขู่ว่าเรื่องนี้เป็นความลับทางราชการ ห้ามเธอบอกใคร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีด้วย
ขั้นตอนการข่มขู่ให้โอนเงินและกลวิธีการหลอกลวง
มิจฉาชีพได้อ้างว่าการโอนเงินเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอ โดยสัญญาว่าจะคืนเงินภายใน 10-15 นาที เธอจึงโอนเงินครั้งแรกจำนวน 2 ล้านบาท เมื่อครบกำหนดเวลา มิจฉาชีพอ้างว่าอยู่ระหว่างประชุมและขอให้เธอโอนเงินเพิ่มอีก 2 ล้านบาท ซึ่งเธอได้โอนในสองรอบ รวมเป็นเงินทั้งหมด 4 ล้านบาท ไปยังบัญชีชื่อ น.ส.ปริชาติ
การแจ้งความและการดำเนินการของตำรวจ
หลังจากเริ่มสงสัยว่าอาจถูกหลอก น.ส.ชาล็อตได้อายัดบัญชีและเดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.สุทธิสาร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มสืบสวนและตรวจสอบบัญชีม้าที่มิจฉาชีพใช้ รวมถึงเส้นทางการเงินที่ถูกโอนออกไปยังบัญชีอื่น และดำเนินการโอนย้ายคดีมายังสำนักงานตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.)
บทเรียนสำคัญ
นายณวัฒน์ อิสระไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MGI เปิดเผยว่ามิจฉาชีพในครั้งนี้อาจใช้เทคโนโลยี AI ในการปลอมแปลงเสียงและวิดีโอคอล ทำให้เหยื่อหลงเชื่ออย่างสนิทใจ พร้อมเตือนให้ประชาชนระมัดระวังกับการรับสายจากเบอร์แปลก และไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัวหรือโอนเงินโดยไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด
ทางตำรวจยืนยันว่าจะเร่งติดตามสืบสวนเพื่อนำเงินคืนให้ผู้เสียหาย แม้ว่าเงินบางส่วนอาจถูกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลแล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน คาดว่าจะสามารถติดตามเส้นทางการเงินได้
ข้อควรระวังในการป้องกันภัยมิจฉาชีพ
- - หลีกเลี่ยงการรับสายจากเบอร์แปลก โดยเฉพาะหากมีการอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
- - อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินแก่ผู้อื่นทางโทรศัพท์หรือออนไลน์
- - ตรวจสอบข้อมูลและเอกสารทุกครั้งก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน
- - หากสงสัยว่าถูกหลอก ควรรีบติดต่อธนาคารเพื่ออายัดบัญชี และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความก้าวหน้าของวิธีการหลอกลวงในปัจจุบัน ประชาชนควรมีความระมัดระวังและหมั่นตรวจสอบข้อมูลเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
ภาพจาก: AFP
ข่าวแนะนำ