TNN ดื่มชา-กินของร้อนๆ ทำเซลล์รากฟันตายทีละนิด จริงหรือไม่?

TNN

สังคม

ดื่มชา-กินของร้อนๆ ทำเซลล์รากฟันตายทีละนิด จริงหรือไม่?

ดื่มชา-กินของร้อนๆ ทำเซลล์รากฟันตายทีละนิด จริงหรือไม่?

ดื่มชาร้อนหรือกินของร้อน ๆ เซลล์รากฟันจะตายทีละนิด และฟันอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเทาได้ หมอตอบชัดเรื่องจริงหรือไม่?

ตามที่มีการเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องดื่มชาร้อนหรือกินของร้อน ๆ เซลล์รากฟันจะตายทีละนิด และฟันอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเทาได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

จากกรณีที่มีผู้โพสต์เฟซบุ๊กโดยระบุว่าดื่มชาร้อนหรือกินของร้อน ๆ เซลล์รากฟันจะตายทีละนิด และฟันอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเทาได้ ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าการที่ฟันเปลี่ยนสีเป็นสีเทา เป็นอาการแสดงหนึ่งของฟันที่มีประสาทฟันตาย (pulp necrosis) ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบมากมักเกิดจากการมีฟันผุ หรือฟันแตกหักทะลุโพรงประสาทฟัน หรือฟันที่ได้รับการกระแทกจากอุบัติเหตุ เป็นต้น

ส่วนความร้อนทำให้เกิดฟันตายได้หรือไม่นั้น โดยปกติแล้วในทางทันตกรรมมีการใช้ความร้อนเป็นเครื่องมือในการตรวจอย่างหนึ่ง เพื่อประเมินว่าประสาทฟันซี่นั้นตายหรือมีการอักเสบหรือไม่ โดยความร้อนที่ใช้จะมีอุณหภูมิประมาณ 78 – 150 องศาเซลเซียส แตะที่ฟันประมาณ 5 วินาที ซึ่งพบว่าอุณหภูมิและเวลาที่สัมผัสกับฟัน (contact time) ดังกล่าว จะทำให้อุณหภูมิของประสาทฟันสูงขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส ซึ่งพบว่าไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อประสาทฟันแต่อย่างใด

ฉะนั้นการดื่มชาร้อนหรือการกินของร้อน ๆ ซึ่งมีอุณหภูมิและเวลาที่สัมผัสกับฟันโดยประมาณไม่สูงกว่านี้ จึงไม่สามารถทำให้เกิดประสาทฟันตายและฟันเปลี่ยนเป็นสีเทาได้

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://www.dms.go.th/ หรือโทร. 0-2590-6000

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : การดื่มชาร้อนหรือการกินของร้อน  ซึ่งมีอุณหภูมิและเวลาที่สัมผัสกับฟันโดยประมาณไม่เกิน 2 องศา ไม่สามารถทำให้เกิดประสาทฟันตายและฟันเปลี่ยนเป็นสีเทาได้

 หน่วยงานที่ตรวจสอบ

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข้อมูลจาก : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 

ภาพจาก  :  AFP

ข่าวแนะนำ