ครม.มีมติยกเว้นภาษีนำเข้าคาร์ซีท (Car seat) จากต่างประเทศ ถึง 31 ธ.ค.66
ครม.ยกเว้นภาษีอากรที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก "คาร์ซีท" (Car seat) นำเข้าจากต่างประเทศ 20% ให้มีผลตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (28 มิ.ย.) มีมติเห็นชอบร่างประกาศกฎกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากร ตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 (ฉบับที่ ..) โดยมีสาระสำคัญ เป็นการยกเว้นอากรสำหรับที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (Car seat) เฉพาะที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กนำเข้า ให้มีผลตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไปให้จัดเก็บอัตราอากรร้อยละ 20 ซึ่งเป็นการจัดเก็บในอัตราเดิม
สำหรับการเลือกที่นั่งนิรภัยที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้คำแนะนำในการเลือกไว้ ดังนี้
1) ควรจัดให้มี ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก และใช้งานอย่างถูกวิธีตลอดเวลาที่โดยสารรถยนต์
2) เลือกรูปแบบคาร์ซีทและติดตั้งให้เหมาะสมตามช่วงอายุ สรีระ น้ำหนัก ส่วนสูงของเด็ก โดยที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กแรกเกิด-3 ปี ควรใช้คาร์ซีทเป็นที่นั่งแบบปรับให้หันหน้าไปด้านหลังรถ ซึ่งจะปลอดภัยมากที่สุด หรือเด็กที่มีอายุ 2-6 ปี สามารถใช้คาร์ซีทเป็นที่นั่งแบบหันมาด้านหน้าได้ ส่วนเด็กที่เริ่มโต ควรใช้บูสเตอร์ซีท เป็นที่นั่งแบบหันมาด้านหน้าใช้ร่วมกับเข็มขัดนิรภัยปกติ
3) มีมาตรฐานความปลอดภัย จากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ กรณีเลือกใช้ที่นั่งนิรภัยมือสอง ควรสำรวจสภาพไม่มีรอยบุบหรือแตก สายรัดหรือเข็มขัดมีสภาพดี และอายุการใช้งานไม่ควรเกิน 6 ปี
4) อ่านคำแนะนำการใช้การติดตั้งอย่างละเอียด และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
5) สำหรับรถเก๋ง ควรติดตั้งที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กที่เบาะหลัง ไม่ควรติดตั้งที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กที่เบาะด้านหน้าข้างคนขับ เนื่องจากเมื่อเกิดอุบัติเหตุเด็กอาจโดนกระแทกจากถุงลมนิรภัยได้
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ภาพจาก TNN ONLINE