ไขข้อสงสัย? 'อาการแบบจัสติน' ที่เป็นจากงูสวัด มีวัคซีนป้องกันหรือไม่
เพจดังไขข้อสงสัย อาการหน้าเบี้ยวแบบจัสตินบีเบอร์ที่เกิดขึ้นจากงูสวัด มีวัคซีนสำหรับฉีดป้องกันหรือไม่ และ ใครควรฉีด
วันนี้ ( 12 มิ.ย. 65 )จากนักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดังระดับโลกอย่าง ‘จัสติน บีเบอร์’ ป่วยด้วยอาการ ‘โรคแรมเซย์ ฮันท์’ จนทำให้หน้าเป็นอัมพาตไปครึ่งซีก โดยมีผลกระทบสืบเนื่องจากโรคงูสวัด นอกจากต้นเหตุของการเกิดโรคแล้ว ใครหลายคนยังสงสัยว่า โรคนี้สามารถป้องกันด้วยวัคซีนหรือไม่ ล่าสุด เพจ Drama-addict ได้ออกมาตอบคำถามดังกล่าวผ่านแฟนเพจ โดยระบุว่า
“ลูกเพจสอบถามมาประเด็นนี้ ว่าอาการของจัสติน บีเบอร์ ที่เป็นจากงูสวัดทำให้เส้นประสาทที่หน้าอักเสบ อันนี้มีวัคซีนป้องกันมั้ย
คำตอบคือ มีครับ
เป็นวัคซีนที่ปัจจุบันมีฉีดทั่วไปแล้ว และแนะนำให้กลุ่มที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ควรไปฉีด หรือถ้าอายุเกิน 50 และมีประวัติสุกใสมาก่อน เพราะโรคนี้จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยกว่าครึ่งในแต่ละปี อายุเกิน 60 ปี และในกลุ่มผู้สูงอายุจะเสี่ยงที่จะป่วยหนักกว่ากลุ่มหนุ่มสาว ปัจจุบันราคายังสูงอยู่ เช็คราคาตาม โรงพยาบาลเอกชน ราคาที่ประมาณ 6-7 พันบาท ”
รู้จักวัคซีนโรคงูสวัดอันเป็นเหตุให้ ‘จัสติน’ หน้าเบี้ยว
วัคซีนงูสวัดเป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง แนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป โดยฉีดเข้าใต้ผิวหนัง 1 ครั้ง ปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นในการฉีดเข็มกระตุ้น สามารถให้ร่วมกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ได้ในเวลาเดียวกัน วัคซีนสามารถป้องกันการเกิดโรคงูสวัดได้ เฉลี่ยร้อยละ 51 ในผู้สูงอายุ และสามารถลดการเกิดอาการปวดตามแนวเส้นประสาท
ใครควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด ?
- ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ทั้งที่เคยเป็นและไม่เคยเป็นโรคงูสวัด หรือโรคอีสุกอีใสมาก่อน
- ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50-59 ปีที่เคยมีประวัติเป็นโรคอีสุกอีใส หรือโรคงูสวัดมาก่อน
ใคร “ควรงด” รับวัคซีนป้องกันงูสวัด?
- เคยมีประวัติแพ้ส่วนประกอบของวัคซีนอย่างรุนแรง ได้แก่ สารเจลาติน หรือยา Neomycin
- เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ จึงห้ามฉีดในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง เช่น กำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาสเตียรอยด์ขนาดสูง ติดเชื้อเอชไอวี ที่มีค่า CD4 ต่ำมาก
- หญิงตั้งครรภ์ หรือ อาจจะตั้งครรภ์
- หากมีไข้สูง หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน ควรเลื่อนการรับวัคซีนออกไปก่อน รอให้หายป่วยก่อนจึงค่อยมารับวัคซีน
กรณีเป็นหวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ สามารถรับวัคซีนได้
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังรับวัคซีนป้องกันงูสวัด
อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ แต่พบได้น้อยมาก ปฏิกิริยาที่อาจพบได้หลังฉีดวัคซีน ได้แก่ ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายเองได้ใน 1-2 วัน อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่ มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ ซึ่งมักจะหายเองได้ใน 1-2 วัน
หมายเหตุควรระวังจากวัคซีนงูสวัด
- ผู้หญิงที่รับวัคซีนต้องคุมกำเนิดอย่างน้อย 1 เดือนหลังฉีดวัคซีน
- ไม่ใช้วัคซีนป้องกันงูสวัด เพื่อป้องกันโรคอีสุกอีใส
- วัคซีนป้องกันงูสวัด เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ผู้รับวัคซีนที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน
** หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์ **
ทั้งนี้ ‘งูสวัด’ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Varicella Zoster Virus (VZV) เชื้อนี้เป็นไวรัสชนิดเดียวกับเชื้อก่อโรคอีสุกอีใส ซึ่งแพร่กระจายโดยการสัมผัสโดยตรง เช่น การสัมผัสกับแผลของผู้ป่วย โดยผู้ที่ได้รับเชื้อนี้ครั้งแรกจะเกิดโรคอีสุกอีใส (Varicella; Chickenpox)
เมื่อหายจากโรค เชื้อนี้ยังไม่หมดไปจากร่างกายแต่จะไปหลบอยู่ที่บริเวณปมประสาทจนเมื่อผู้ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง เช่น การเจ็บป่วยหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อนี้ก็จะถูกกระตุ้นให้ออกจากปมประสาทมาก่อโรคบริเวณผิวหนังที่ปลายประสาทมาเลี้ยง โดยจะเกิดเป็นตุ่มน้ำใส มีอาการปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำใสนี้จะคงอยู่ประมาณ 5 วัน จากนั้นจะตกสะเก็ดและหายไปภายใน 2-3 สัปดาห์
ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนทางระบบประสาทเกิดขึ้นได้ อาการแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการปวดเส้นประสาท (Postherpetic neuralgia) พบได้ถึงร้อยละ 40-44 ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแปลบบริเวณที่เกิดตุ่มน้ำใสหลังจากที่ตุ่มน้ำใสหายไปแล้ว อาการปวดนี้จะคงอยู่หลายเดือน หรือถ้าเชื้อเข้าสู่ตาอาจทำให้ตาบอดได้
อาการแทรกซ้อนที่สำคัญอีกอย่าง คือ การที่เชื้อเคลื่อนออกจากปมประสาทเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดสมองอักเสบ (VZV encephalitis) อาการส่วนมากจะเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ซึ่งถ้าทำการรักษาไม่ทันอาจทำให้ "เสียชีวิตได้"
ข้อมูลจาก : เพจ Drama-addict / โรงพยาบาลพญาไท
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพจาก : AFP/ อินสตราแกรม justinbieber