TNN เตือน! ระวัง ‘ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย’ แพร่ระบาด อาการรุนแรงถึงชีวิต

TNN

Health

เตือน! ระวัง ‘ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย’ แพร่ระบาด อาการรุนแรงถึงชีวิต

เตือน! ระวัง  ‘ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย’ แพร่ระบาด อาการรุนแรงถึงชีวิต

ศูนย์จีโนมฯ เตือนระวัง ‘ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย’ แพร่ระบาด ผู้ป่วยอาการรุนแรง เสี่ยงถึงชีวิต

วันนี้ ( 10 มี.ค. 66 )เฟซบุ๊ก "Center for Medical Genomics" ซึ่งเป็นเพจหลักของ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความระบุว่า ทำไมเมื่อจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในอินเดียลดลง จำนวนผู้ป่วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ "H3N2" กลับเพิ่มขึ้น? ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ที่อุบัติขึ้นในอินเดียขณะนี้จะมีอาการรุนแรงและแพร่ระบาดไปทั่วโลกเหมือนไวรัสไข้หวัดใหญ่ "H3N2" สายพันธุ์ฮ่องกงในอดีตซึ่งมีผู้เสียชีวิตประมาณ 1-4 ล้านคนหรือไม่คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด


จากเชื้อไวรัสที่สุ่มเสี่ยงจะอุบัติขึ้นใหม่ในอนาคต 10 ลำดับ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ถูกจัดอยู่ใน "อันดับ 2" ที่สุ่มเสี่ยงจะระบาดไปทั่วโลก (pandemic) รองจากอันดับ 1 ไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีความสุ่มเสี่ยงสูงที่จะกลายพันธุ์ระบาดเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน (outbreak)


รายละเอียด 10 ประการของไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันในอินเดียที่ควรทราบ


1. ประเภทของไวรัสไข้หวัดใหญ่

ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีสามสายพันธุ์: A, B และ C ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B พบแพร่ระบาดตามฤดูกาล ในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C มักทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจเล็กน้อย

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สามารถจำแนกได้อีกเป็นสายพันธุ์ย่อย (subtype) ตามชนิดของโปรตีนหนามบนเปลือกหุ้ม (envelope) ของอนุภาคไวรัส สองชนิดคือ: ฮีแมกกลูตินิน (H) และ นิวรามินิเดส

มี H ที่แตกต่างกัน 18 ชนิด (H1-H18) และ N ที่แตกต่างกัน 11 ชนิด (N1-N11) สามารถสุ่มผสมกัน (recombination/reassortment) สร้างเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ "เอ" สายพันธุ์ย่อยใหม่ ตัวอย่างเช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่มีสายพันธุ์ย่อยซึ่งพบได้บ่อยที่สุด 2 ชนิดที่คือสายพันธุ์ย่อย H1N1 และ H3N2 ที่แพร่ติดต่อในคน

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ "บี" ไม่ได้จำแนกเป็นสายพันธุ์ย่อยเช่นเดียวกับไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ แต่ถูกจัดแบ่งออกเป็นสองสายพันธุ์ที่แตกต่างกันคือ B/Yamagata และ B/Victoria สายพันธุ์เหล่านี้ยังสามารถพัฒนากลายพันธุ์ออกไปเป็นสายพันธุ์ย่อยต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ "ซี" ไม่ได้จำแนกเป็นสายพันธุ์ย่อยเช่นเดียวกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอและบี เนื่องจากมี H และ N เพียงชนิดเดียว

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A สายพันธุ์ย่อย H3N2 ขณะนี้เกิดการติดเชื้อและแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศอินเดียตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมา ไวรัสสายพันธุ์ย่อยนี้เคยระบาดแล้วในอดีตมีชื่อเรียกว่า "ไข้หวัดฮ่องกง" โดยมีอาการคล้ายคลึงกับอาการติดเชื้อจากไวรัสโคโรนา 2019

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A สายพันธุ์ย่อย H3N2 ที่่อุบัติใหม่ในอินเดียตรวจพบครั้งแรกในรัฐทมิฬนาฑูเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 จากนั้นไวรัสได้แพร่กระจายไปยังรัฐอื่นๆ เช่น กรณาฏกะ มหาราษฏระ คุชราต และเดลี


เตือน! ระวัง  ‘ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย’ แพร่ระบาด อาการรุนแรงถึงชีวิต


2. อาการเป็นอย่างไร?

อาการของไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 คล้ายกับไวรัสโคโรนา 2019 ได้แก่

  • - หนาวสั่น
  • - ไอ
  • - มีไข้
  • - คลื่นไส้
  • - อาเจียน
  • - เจ็บคอ/เจ็บคอ
  • - ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและร่างกาย
  • - ท้องเสีย
  • - จามและน้ำมูกไหล
  • มีอัตราการติดเชื้อ 15% และมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 0.1-0.5%


3. จะป้องกันได้อย่างไร?

ฉีดวัคซีนในแต่ละปี ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่และน้ำหรือเจลล้างมือ (มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70%) หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย ปิดปากและจมูกขณะจามหรือไอ และลาหยุดแยกตัวพักอยู่บ้านเมื่อมีอาการและทำงานให้น้อยลงเมื่อป่วย


4. รักษาอย่างไร?

พักผ่อน ดื่มน้ำมากๆ และใช้ยาแก้ปวดลดไข้เมื่อจำเป็น หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือเป็นกลุ่มเปราะบางควรแพทย์เพื่อรับยาต้านไวรัส เช่น "โอเซลทามิเวียร์" และ "ซานามิเวียร์"


5. มีการแพร่ระบาดอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่ H3N2 มีการติดต่อรุนแรงสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งผ่านทางละอองที่ปล่อยออกมาเมื่อไอ จาม หรือพูดคุยกับบุคคลที่ติดเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถแพร่กระจายได้หากผู้ติดเชื้อใช้มือมาสัมผัสที่ปากหรือจมูกหลังจากสัมผัสกับพื้นผิวที่มีไวรัส

หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นกลุ่มเปราะบางมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่


เตือน! ระวัง  ‘ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย’ แพร่ระบาด อาการรุนแรงถึงชีวิต


6. อะไรคือสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ?

เราสามารถลดโอกาสในการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่

สิ่งที่ควรปฏิบัติ

- หลีกเลี่ยงสถานการณ์แออัดและสวมหน้ากากอนามัย

- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลล้างมือผสมแอลกอฮอล์ 70%

- อย่าจับปากหรือจมูกของคุณ

- เมื่อจามและไอ ให้ปิดปากและจมูกให้เพียงพอ

- ใช้ยาพาราเซตามอลเมื่อคุณมีไข้และปวดเมื่อยตามร่างกาย

- รักษาความชุ่มชื้นด้วยการดื่มน้ำมากๆ

สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ

- ถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ

- ใช้การทักทายแบบสัมผัส เช่น กอดรัดสัมผัส จับมือ

- การรักษาด้วยตนเอง เมื่อมีอาการรุนแรง

- รับประทานอาหารโดยนั่งติดกับผู้อื่น


7. การติดเชื้อโควิด-19 หรือการฉีดวัคซีนอาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2

- การติดเชื้อโควิด-19 อาจทำให้ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรคอื่นๆ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ลดลง โดยโควิด-19 อาจทำลายเนื้อเยื่อระบบทางเดินหายใจเกิดการอักเสบ และกดภูมิคุ้มกัน

-  การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อาจกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเฉพาะต่อไวรัส SARs-CoV-2 แต่ไม่กระตุ้นไวรัสอื่นๆ เช่น ไวรัสไข้หวัด H3N2 สิ่งนี้อาจลดการป้องกันข้ามสายพันธุ์และรบกวนระบบความจำของระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคอื่น

- การติดเชื้อโควิด-19 หรือการฉีดวัคซีนอาจเปลี่ยนแปลงสมดุลของไมโครไบโอมในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีบทบาทในการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อโรคอื่นๆ


เตือน! ระวัง  ‘ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย’ แพร่ระบาด อาการรุนแรงถึงชีวิต


8. ไข้หวัดใหญ่ "H3N2" ที่กำลังระบาดในอินเดียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา สุ่มเสี่ยงที่เกิดการระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) หรือไม่

ในอดีตไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ย่อย H3N2 ได้เคยระบาดในปี พ.ศ. 2511 มาก่อนโดยเกิดจากการรวมกันของยีนจากไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ A และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ในมนุษย์ การระบาดใหญ่ในปี พ.ศ. 2511 ได้คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณหนึ่งถึงสี่ล้านคนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมาไวรัส H3N2 ก็ได้กลายเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่แพร่ระบาดทุกปี และสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนประจำปี ดังนั้น การระบาดของไวรัส H3N2 ที่อุบัติขึ้นในอินเดียขณะนี้อาจจะมีโอกาสน้อยที่จะแพร่ระบาดไปทั่วโลกเหมือนไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ต้นตระกูลจากฮ่องกงในปี พ.ศ. 2511 หากทางการอินเดียมีมาตรการติดตามและควบคุมการระบาดอย่างรัดกุม


9. ไข้หวัดใหญ่ "H3N2" ที่พบครั้งแรกในฮ่องกงเมื่อปี พ.ศ. 2511 และได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก(Hongkong flu pandemic)

  • ไข้หวัดใหญ่ H3N2 ตรวจพบครั้งแรกในฮ่องกงในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2511 และแพร่ระบาดไปยังประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
  • ไข้หวัดใหญ่ H3N2 เป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่เกิดจากการสุ่มแลกเปลี่ยน (reassortment) ของยีนจากไวรัสไข้หวัดนก A (H3 hemagglutinin) และไวรัสไข้หวัดใหญ่ A (N2 neuraminidase)

การแลกเปลี่ยนแท่งยีน (gene/genetic reassortment) จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนหนาม (แอนติเจน) บนผิวเปลือกของไวรัสครั้งใหญ่ (antigenic shift) ส่งผลให้ไวรัสสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อตามธรรมชาติหรือจากการฉีดวัคซีนที่ใช้ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ก่อนหน้านี้เป็นหัวเชื้อ เป็นกระบวนการที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่สองสายพันธุ์หรือมากกว่ามาสุ่มแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม(ซึ่งมีจำนวน 8 แท่ง) เพื่อสร้างไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน กระบวนการนี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ต่างสายพันธุ์กัน 2 สองสายพันธุ์เข้ามาติดเชื้อเพิ่มจำนวนสร้างไวรัสรุ่นลูกในเซลล์เดียวกัน

  •  ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้ดี เนื่องจากได้รับยีนช่วยเพิ่มความสามารถในการจับกับตัวรับของเซลล์บริเวณทางเดินหายใจส่วนบนของมนุษย์
  •  ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 ได้คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณหนึ่งถึงสี่ล้านคนทั่วโลก โดยมีอัตราการตายไม่สูงประมาณ 0.5%


10. ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2

  • ยาต้านไวรัสคือยาที่สามารถช่วยป้องกันหรือรักษาการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่โดยการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสภายในเซลล์
  • ยาต้านไวรัสสามารถลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการ ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและการรักษาในโรงพยาบาล และป้องกันการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
  • ยาต้านไวรัสหลักสำหรับไข้หวัดใหญ่คือ โอเซลทามิเวียร์ (ทามิฟลู) และซานามิเวียร์ (รีเลนซา)ซึ่งอยู่ในกลุ่มของยาที่เรียกว่า สารยับยั้งเอนไซม์นิวรามินิเดส(neuraminidase inhibitors)
  • โอเซลทามิเวียร์และซานามิเวียร์มีผลในการต่อต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 รวมทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B
  •  ควรรับประทานยาโอเซลทามิเวียร์และซานามิเวียร์ให้เร็วที่สุดหลังจากเริ่มมีอาการ ควรได้รับยาภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อประโยชน์สูงสุด


ข้อมูลจาก : Center for Medical Genomics

ภาพจาก :  AFP 

ข่าวแนะนำ