"คริส ร็อค" เขียนจดหมายขอโทษ "วิล สมิธ" และครอบครัวแล้ว?
ข้อความขอโทษ "วิล สมิธ" ของ "คริส ร็อค" ถูกเผยแพร่ไปในโลกโซเชียล แต่ทางเว็บไซต์ "TMZ" มองว่าจดหมายนี้อาจจะไม่ใช่จดหมายของ "คริส ร็อค" จริงๆ เพราะตรวจสอบแหล่งที่มาไม่ได้
หลังจากที่ถูก "วิล สมิธ" ตบหน้ากลางเวทีออสการ์เมื่อวานนี้ "คริส ร็อค" (Chris Rock) ใช้เวลานานเกือบ 1 วันกว่าที่จะออกมาเคลื่อนไหวด้วยการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านทาง "โซเชียล มีเดีย" ซึ่งมีใจความว่า “ในฐานะที่เป็นนักแสดงตลก มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ว่าเส้นไหนที่สามารถข้ามได้และเส้นไหนที่ไม่ควรข้ามมันไป เมื่อคืนนี้ผมได้ข้ามเส้นที่ผมไม่ควรข้าม และต้องจ่ายการข้ามเส้นนั้นด้วยชื่อเสียงในฐานะนักแสดงตลกซึ่งเป็นที่รู้จัก”
Photo Credit Website : CNN
"คริส ร็อค" กล่าวเพิ่มเติมว่า “การแสดงตลกไม่ใช่การแซวหรือเล่นมุกตลกเกี่ยวกับความเจ็บปวดที่คนๆนั้นได้รับในชีวิตจริง แต่การแสดงตลกเป็นการใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นมาสร้างเสียงหัวเราะและนำแสงสว่างมาสู่โลกอันมืดมิดใบนี้ ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่ผมได้บอกไป ผมได้ทำพลาดไปจริงๆ ผมถือโอกาสนี้ขอโทศ "จาด้า พินเค็ท-สมิธ" (Jada Pinkett-Smith) ซึ่งก็เป็นเพื่อนของผม รวมถึง "วิล สมิธ" และครอบครัวตระกูล "สมิธ" ทุกๆคนที่ผมได้แสดงความไม่เคารพและไม่ให้เกียรติ ซึ่งโชคไม่ดีเลยที่สิ่งที่ผมได้ทำลงไปได้ถูกถ่ายทอดและออกอากาศไปทั่วโลก ผมหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป การให้อภัยจะเกิดขึ้นและเราทุกๆคนจะเป็นคนที่ดีมากขึ้น”
Photo Credit Website : Page Six
การกล่าวคำขอโทษของ "คริส ร็อค" ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเห็นใจเขา แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยอีกเช่นกันที่ยังคงไม่พอใจที่ดาวตลกชื่อดังเล่นมุกตลกล้อเลียนทรงผมของ "จาด้า" ทั้งๆที่เธอป่วยเป็นโรคผมร่วงอย่างรุนแรง แต่ถึงจะอย่างไรก็ตามทางสำนักข่าว "TMZ" ได้รายงานข่าวว่าคำแถลงการณ์ขอโทษดังกล่าวของ "คริส ร็อค" ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าดาวตลกหนุ่มโพสต์ข้อความนี้ผ่านทางช่องทางไหน ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าข้อความขอโทษนี้อาจจะเป็นข้อความปลอม ซึ่งทาง "คริส ร็อค" เองก็ยังไม่ได้ออกเปิดเผยว่าแถลงการณ์ขอโทษดังกล่าวมาจากตัวเขาจริงหรือไม่ ในขณะที่ทีมงานบางคนของ "คริส ร็อค"บอกว่าแถลงการณ์นี้ดาวตลกหนุ่มไม่น่าจะเป็นคนเขียน เพราะถ้าเขาเขียนจริงทีมงานจะต้องรู้ แต่ถึงจะอย่างไรก็ตามแถลงการณ์ขอโทษนี้ไม่ว่า "คริส ร็อค" จะเป็นคนเขียนจริงหรือไม่ตาม แถลงการณ์นี้ก็ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกแล้ว
Photo Credit Website : Los Angeles Times, Parade