กาแฟจ่อแพงขึ้น เหตุราคาเมล็ดพุ่งรอบ 50 ปี l การตลาดเงินล้าน
ภาวะโลกเดือด กาแฟจ่อแพงขึ้น เหตุราคาเมล็ดพุ่งรอบ 50 ปี จากผลผลิตที่ลดลง
ราคาเมล็ดกาแฟที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า แบรนด์ผลิตภัณฑ์กาแฟกำลังพิจารณาที่จะปรับขึ้นราคาในช่วงปีใหม่นี้ นั่นหมายถึงว่า ในเร็ว ๆ นี้คอกาแฟอาจะต้องกินมื้อเช้าด้วยราคาที่สูงขึ้น
วินห์ เหงียน (Vinh Nguyen) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ Tuan Loc Commodities กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่จะสามารถดูดซับการขึ้นราคา เพื่อให้ลูกค้าได้มีความสุขและรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่า สถานการณ์ที่ว่านี้ กำลังจะเปลี่ยนไป
เพราะแบรนด์ต่าง ๆ เช่น เจดีอี พีท (JDE Peet) เจ้าของแบรนด์ ดาวเออร์ เอ็กเบิร์กส์ (Douwe Egberts) รวมถึง เนสท์เล่ (Nestlé) และแบรนด์อื่น ๆ ต่างได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ พวกเขาเกือบถึงจุดที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว และหลายรายกำลังพิจารณาที่จะปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์กาแฟในซูเปอร์มาร์เก็ต ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 นี้ด้วย
ด้าน ลาวาซซา (Lavazza) บริษัทกาแฟยักษ์ใหญ่ของอิตาลี ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อปกป้องส่วนแบ่งทางการตลาด และไม่ส่งต่อต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ไปยังลูกค้า แต่ด้วยราคาวัตถุดิบเมล็ดกาแฟยังสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ในที่สุด ต้องตัดสินใจ ทั้งบอกอีกว่า คุณภาพ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับบริษัทฯ และเป็นรากฐานสำคัญของเราในการทำสัญญาความไว้วางใจกับผู้บริโภค นั่นหมายถึงการที่ต้องรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นราคา
เช่นเดียวกันกับ ผู้บริหารระดับสูงของ เนสท์เล่ ที่ก่อนหน้านี้ เคยกล่าวในงานการประชุมกับนักลงทุน เมื่อเดือนพฤศจิกายน บอกว่า เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และยอมรับว่า บริษัทอาจจะต้องปรับราคา รวมถึงการลดขนาดของบรรจุภัณฑ์
บีบีซี รายงานอีกว่า ราคาเมล็ดกาแฟ อาราบิกา พุ่งสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 80 แล้วในปีนี้ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบเกือบ 50 ปี นับตั้งแต่เกิดเหตุการน้ำค้างแข็งที่ทำลายต้นกาแฟไปมากกว่า 1,000 ล้านต้นเมื่อปี 1997
ขณะเดียวกัน ราคาของเมล็ดกาแฟ โรบัสต้า ก็พุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยมาจากการที่ผู้ค้ากาแฟคาดการณ์กันว่า ผลผลิตเมล็ดกาแฟจะลดลง หลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก 2 ราย ได้แก่ บราซิล และเวียดนาม ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศอันเลวร้าย ในขณะที่ ความนิยมของเครื่องดื่มกาแฟยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง
ด้าน โอเล่ แฮนเซน (Ole Hansen) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ ซาโซ แบงก์ (Saxo Bank) กล่าวถึงแนวโน้มปี 2568 ว่า ความกังวลเกี่ยวกับการเพาะปลูกพืช ที่บราซิล จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในทิศทางของราคากาแฟ โดย บราซิล ประสบกับภัยแล้งครั้งใหญ่ในรอบ 70 ปี ช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายนที่ผ่านมา และยังตามมาด้วยฝนตกหนักในเดือนตุลาคม ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าช่อดอกจะเสียหาย
และไม่ใช่เฉพาะที่บราซิล เท่านั้น ที่เจอกับสภาพอากาศเลวร้าย อุปทานโรบัสต้า ก็หดตัว หลังพื้นที่เพาะปลูกในเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของสายพันธ์โรบัสต้า ก็เผชิญกับภัยแล้งและฝนตกหนักเช่นเดียวกัน
โดย กาแฟเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากน้ำมันดิบ และยังได้รับความนิยมที่เพิ่มขึ้นจากผู้บริโภค เช่น การบริโภคในจีน พบว่า ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นถึงกว่า 2 เท่า
ด้าน เฟอร์นันดะ โอคาดะ (Fernanda Okada) นักวิเคราะห์กาแฟ จาก S&P Global Commodity Insights กล่าวว่า ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดนี้ อยู่ในระดับสูง ขณะที่สินค้าคงคลังที่ผู้ผลิตและโรงคั่วถือครองอยู่นั้น มีรายงานว่าอยู่ในระดับต่ำ ทำให้คาดว่า แนวโน้มของราคากาแฟจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ในทิศทางเดียวกันนี้ เอ็นบีซี นิวส์ รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเตือนบรรดาคอกาแฟ และกลุ่มที่นิยมเข้าร้านกาแฟว่า อาจจะได้เห็นราคากาแฟเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้
เดวิด ออร์เทกา (David Ortega) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์อาหารและนโยบาย จาก Michigan State University กล่าวว่า เราได้เห็นความแห้งแล้งอย่างมีนัยสำคัญในพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญบางแห่งของโลก เช่น บราซิล ซึ่งเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดในโลก และที่เวียดนาม ก็เช่นเดียวกัน ทั้งเชื่อว่า เหตุการณ์แบบนี้ จะเกิดขึ้นอีกบ่อยครั้งในอนาคต
ดังนั้น จึงต้องเริ่มดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและลงทุนในการวิจัยและพัฒนาทางการเกษตรเพื่อให้สามารถบรรเทาและรับมือกับผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงในการผลิตทางการเกษตร และระบบการเกษตรของเรา
ผลกระทบประการหนึ่งคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และสุดท้ายก็จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค ที่จะเริ่มรู้สึกถึงการเพิ่มขึ้นของราคานี้
ด้าน Jackie Newman รองประธาน World of Coffee ที่ทำธุรกิจทั้งการแปรรูปเมล็ดกาแฟดิบ บรรจุหีบห่อในแบรนด์ของตัวเอง และบริการอาหารและร้านกาแฟ คาดการณ์ว่าราคาเมล็ดกาแฟจะเพิ่มขึ้นจากน้ำหนักปอนด์ละ 50 เซนต์ เป็น 1 ดอลลาร์ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
และกล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยอันดับ 1 ที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของราคากาแฟในตลาด ซึ่งทำให้ตลาดเกิดความตึงเครียดอย่างมาก จากการที่อุปทานลดลง แต่อุปสงค์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะพยายามทำให้เกิดความยุติธรรมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยก่อนจะปรับราคา เราต้องแน่ใจให้ได้ว่า ได้รับผิดชอบต้นทุนทั้งหมดก่อนแล้ว ซึ่งไม่ใช่แค่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนกาแฟ แต่ยังรวมถึงต้นทุนบรรจุภัณฑ์ และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นด้วย
ข่าวแนะนำ