"TESLA" และ "TOYOTA" ครองแชมป์ยานยนต์โลก l การตลาดเงินล้าน
TESLA ยังคงครองแชมป์บริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุด ส่วนด้านยอดขายก็ยังเป็นของ TOYOTA
การสำรวจ 10 อันดับบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ปี 2567 ณ วันที่ 24 ธันวาคม พบว่า อันดับ 1 เป็นของ เทสลา ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1 ล้าน 3 แสน 8 หมื่น ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 74.99 ซึ่งการเพิ่มขึ้นดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากการที่ นักลงทุนในตลาดหุ้นคาดการณ์ว่า เทสลา ของคุณอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับประโยชน์จากนโยบายการเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ที่รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า และยังทำให้ เทสลา เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดติดอันดับ 8 ของโลก อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มัสก์ ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่นใหม่ คือ Cybercab รถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แบบไร้คนขับ และ Robovan ยานยนต์ไร้คนขับที่บรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 20 คน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ประทับใจนัก เพราะยังขาดความชัดเจนในรายละเอียดเกี่ยวกับอนาคตการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ และคิดว่ายังต้องใช้เวลาอีกนาน
สำหรับบริษัทรถยนต์ที่มีมาร์เก็ตแคปเป็น อันดับที่ 2 ของโลก คือ โตโยต้า บริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 237,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มูลค่าตลาดจะลดลงไปเล็กน้อยที่ร้อยละ 4
ส่วนอันดับ 3 เป็นของ บีวายดี บริษัทรถยนต์รายใหญ่จากจีน ที่ไต่อันดับขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยปีนี้มีอัตราการเติบโตของมาร์เก็ตแคป อยู่ที่ร้อยละ 37.1 ด้วยมูลค่า 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อันดับ 4 คือ เสียวหมี่ บริษัทอิเลคโทรนิคส์รายใหญ่จากจีน ถูกนับรวมเข้ามาในกลุ่มยานยนต์ด้วยหลังจากเปิดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า รุ่น SU7 โดยมาร์เก็ตแคปของเสียวหมี่ เติบโตขึ้นเป็นอัตราสูงถึง 102.09% ด้วยมูลค่าตลาด 102,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และอันดับ 5 เป็นของ เฟอร์รารี มีมูลค่าตลาดกว่า 77,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 26.13
ส่วนอันดับ 6 คือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีมูลค่ากว่า 58,600 ล้านดอลลาร์
เจเนรัล มอเตอร์ส อยู่อันดับที่ 7 ด้วยมูลค่า 57,700 ล้านดอลลาร์
ตามมาด้วย พอร์ช หรือ พอร์เช่ อันดับที่ 8 มีมูลค่า 55,100 ล้านดอลลาร์
อันดับที่ 9 บีเอ็มดับบลิว 49,500 ล้านดอลลาร์
และอันดับที่ 10 เป็นของ โฟล์กสวาเกน ที่มีมาร์เก็ตแคป 45,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่หากดูในแง่ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลกแล้ว อันดับ 1 ยังเป็นของ โตโยต้า ที่ครองอันดับ 1 ต่อเนื่องมาหลายปีติดต่อกัน โดยปี 2566 ที่ผ่านมา โตโยต้า มียอดขายสูงที่สุด ด้วยยอดรวมกว่า 8 ล้าน 5 แสน 7 หมื่นคัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 11.18 ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก
ส่วนปี 2567 แม้จะมียอดขายลดลงไป แต่สำหรับงวด 9 เดือนที่ผ่านมา โตโยต้า ก็ยังคงครองอันดับ 1 ในกลุ่มยานยนต์โลก โดยมียอดขายทั่วโลกแล้วกว่า 7 ล้าน 8 แสน 9 หมื่นคัน
อย่างไรก็ดี โตโยต้า รวมถึงบริษัทรถยนต์ดั้งเดิมที่ผลิต ICE (สันดาปภายใน) กำลังเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า โตโยต้า จึงเป็นผู้ผลิตอีกราย ที่กำลังมุ่งไปสู่การลงทุนใหม่ ๆ โดยเมื่อต้นปี ได้ประกาศใช้งบก้อนใหญ่ มูลค่ากว่า 1 ล้าน 7 แสน ล้านเยน เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่จะสร้างการเติบโตในอนาคต นำโดย ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ, รถยนต์ไฟฟ้า, ซอฟต์แวร์ และรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน เป็นต้น
ขณะเดียวกัน คู่แข่งรถไฟฟ้า ทั้ง เทสลา และ บีวายดี ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่โตโยต้า เน้นย้ำว่า จะยังคงยึดมั่นในจุดยืนเดิม ซึ่งก็คือ แนวทางหลายรูปแบบ โดยมุ่งมั่นนำเสนอรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหลากหลายรุ่น และไม่ได้จำกัดเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น
นอกจากนี้ ใน 5 อันดับแรกของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก นอกจาก โตโยต้า ที่ครองอันดับ 1 แล้ว อันดับ 2 คือ โฟล์กสวาเกน มียอดขายทั่วโลกกว่า 6 ล้าน 5 แสนคัน ฮุนได อยู่อันดับ 3 จำนวน 5 ล้าน 3 แสนคัน อันดับ 4 เป็นของ สเตลแลนทิส จำนวน 4 ล้าน 1 แสนคัน และ เจเนรัล มอเตอร์ส อันดับ 5 มียอดขาย จำนวน 3 ล้าน 3 แสนคัน
ส่วน ฟอร์ด อยู่อันดับ 6 ด้วยยอดขาย 3 ล้าน 2 แสนคัน ฮอนด้า อันดับ 7 มียอดขายจำนวน 2 ล้าน 7 แสนคัน ตามมาด้วย บีวายดี อยู่อันดับ 8 ยอดขาย 2 ล้าน 7 แสนคัน
นิสสัน อันดับ 9 จำนวน 2 ล้าน 5 แสนคัน และ อันดับ 10 ซูซูกิ มียอดขาย 2 ล้าน 4 แสนคัน
และจากข้อมูลของ Car Industry Analysis ยังพบว่ายอดขายทั่วโลกงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 สำหรับ เทสลา อยู่อันดับ 16 ด้วยยอดขายจำนวน 1 ล้าน 2 แสน 9 หมื่นคัน
ส่วนบริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น 3 ราย ที่กำลังเดินหน้าตามแผนการควบรวมกิจการ ได้แก่ ฮอนด้า นิสสัน และ มิตซูบิชิ มีคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ที่นับด้วยยอดขาย ดังนั้น เมื่อคำนวนจากข้อมูลในงวดยอดขาย 9 แรกที่ผ่านมา ของทั้ง 3 ราย พบว่ามียอดขายรวมกันจำนวนกว่า 5 ล้าน 9 แสน คัน ซึ่งจะขึ้นแซงเป็นอันดับ 3 แทน ฮุนได ทันที
อย่างไรก็ตาม การประกาศควบรวมกิจการกันระหว่างบริษัท ฮอนด้า และ นิสสัน ซึ่งรวมถึง มิตซูบิชิ ด้วยนั้น กำลังเป็น ดีล ที่ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการสะท้อนถึงผลกระทบหลายด้าน ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์
ซึ่งผลกระทบจากการเติบโตของแบรนด์จีน ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดย ซีเอ็นบีซี รายงานว่า การเติบโตของผู้ผลิตรถยนต์จีน กำลังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ในช่วงเวลาที่ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ กำลังดิ้นรน เพื่อเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล ไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เพราะรถ อีวี ราคาถูกจากจีน ไม่ว่าจะเป็น บีวายดี, เกรท วอลล์ มอเตอร์ และ นิโอ กำลังกินส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ทั้งในตลาดจีน และตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก
ขณะที่ ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นยังตามหลังคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และขณะนี้กำลังพยายามลดต้นทุน และชดเชยเวลาที่เสียไป
โดย เมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ทั้ง นิสสัน, ฮอนด้า และมิตซูบิชิ ประกาศว่า พวกเขาจะแบ่งปันส่วนประกอบสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี รวมถึงจะร่วมกันวิจัยซอฟต์แวร์สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ เพื่อปรับตัวให้ดีขึ้น ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมที่เน้นไปใช้ไฟฟ้า
มีรายงานข่าวว่า การควบรวมกิจการกัน อาจส่งผลให้เกิดบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าประมาณ 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เป็นตัวเลขที่อิงตามมูลค่าตามราคาตลาดของผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 3 ราย) และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้น กับ โตโยต้า ซึ่งเป็นผู้นำตลาดของญี่ปุ่น และ โฟล์สวาเกน ของเยอรมนี ขณะที่ โตโยต้าเอง ก็เป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีกับ มาสด้า และ ซูบารุ จากชาติเดียวกันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม โตโยต้า จะยังคงเป็นผู้ผลิตรายใหญ่สุดของญี่ปุ่น ด้วยยอดผลิตรถยนต์ที่จำนวน 11.5 ล้านคันในปี 2566 ส่วนในปีเดียวกันนี้ ฮอนด้า ผลิตได้ 4 ล้านคัน และนิสสัน ผลิตได้ 3 ล้าน 4 แสนคัน ส่วน มิตซูบิชิ มียอดผลิตกว่า 1 ล้านคัน
นอกจากนี้ รายงานข่าวระบุด้วยว่า ยังมีอีกหนึ่งอุปสรรคใหญ่ ที่ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกทุกรายอาจจะต้องเจอ หากว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงยืนยันที่จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง แคนาดา และ เม็กซิโก ด้วย ซึ่ง นิสสัน เอง ก็เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีการประกอบรถยนต์ในเม็กซิโก จึงเป็นอีกปัจจัยที่ต่างก็ต้องติดตามว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ และเมื่อไหร่
ข่าวแนะนำ