ผลสำรวจพบ "Gen Z" เชื่อ ChatGPT มากกว่าหัวหน้า! l การตลาดเงินล้าน

ผลสำรวจของ อินทู (INTOO) บริษัทด้านการพัฒนาอาชีพ และ บริษัทวิจัยที่ชื่อ Workplace Intelligence เผยว่า ร้อยละ 47 ของกลุ่ม เจน ซี คิดว่า เอไอ ช่วยเหลือและให้คำแนะนำตนเองได้ดีกว่าเจ้านายหรือหัวหน้างาน ในที่ทำงาน และอีกร้อยละ 44 คาดว่าจะลาออกภายใน 6 เดือนข้างหน้า

มิรา กรีนแลนด์ (Mira Greenland) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของ อินทู ให้ความเห็นว่า ความพึงพอใจและความภักดีของพนักงานต่อองค์กรธุรกิจ จะมีความเชื่อมโยงกับการให้การสนับสนุนและการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะแก่พนักงานเป็นหลัก ที่แม้แต่เงินเดือนที่แข่งขันได้ก็ยังไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคดังกล่าวได้เลย

ไม่จำเป็นจะต้องเป็นงานชิ้นใหญ่ ๆ เสมอ เพียงผู้จัดการให้คำแนะนำเกี่ยวกับช่อง พอคแคส หรือ ช่องทางรับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนเองเพื่อให้เติบโตในหน้าที่การงานในอนาคต ก็สามารถสร้างความประทับใจที่ดีได้แล้ว

อย่างไรก็ดี เธอบอกว่า การจะเอาชนะใจชาวเจน ซี ที่เป็นสมาชิกในทีมได้ หัวหน้างานควรกำหนดเวลาการพัฒนาอาชีพแบบตัวต่อตัวกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ และควรให้ความยุติธรรมกับผู้ร่วมงานทุกคน เมื่อพวกเขาหารือเกี่ยวกับโอกาสในการทำงาน หรือแสดงความต้องการบางอย่างเกี่ยวกับหน้าที่การงานของตน ผู้จัดการควรพยายามค้นหาวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยเหลือตามเส้นทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นการย้ายตำแหน่ง, เลื่อนตำแหน่งงาน ตลอดจนสนับสนุนการเข้าร่วมอบรม เพื่อเพิ่มทักษะ

สิ่งสำคัญพอ ๆ กัน ก็คือ ควรแจ้งล่วงหน้า หากไม่มีโอกาสที่พนักงานต้องการในเวลานี้ ซึ่งแม้ว่าข่าวดังกล่าว อาจจะไม่ใช่สิ่งที่พนักงานคาดหวัง แต่จะรู้สึกได้ ว่าตนเองได้ถูกรับฟังและได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง ในประเด็นเหล่านี้ จะกลายเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ตัดสินใจสำหรับก้าวต่อไปด้วย 

ด้าน สเตซี่ แฮลเลอร์ (Stacie Haller) หัวหน้าที่ปรึกษาด้านอาชีพของ Resume Builder กล่าวว่า เมื่อพนักงานใหม่เข้ามาทำงาน บริษัทฯ ควรมีการพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ และเป้าหมายในระยะยาวว่าคืออะไร เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมในการทำงานต่อไป อีกทั้งควรมีโปรแกรมการให้คำปรึกษาเพื่อสร้างความคุ้นเคยในการทำงานร่วมกับผู้อื่นสำหรับพนักงานใหม่ ขณะเดียวกัน ควรติดตามความคืบหน้าอย่างระมัดระวัง โดยแนะนำการฝึกอบรมเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อช่วยปิดช่องว่างด้านทักษะของพนักงาน หรือเพื่อแจ้งเตือนถึงโอกาสอื่น ๆ ในบริษัทฯ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางอาชีพอย่างใกล้ชิดมากขึ้น

แฮลเลอร์ กล่าวอีกว่า ผู้จัดการ ควรตระหนักด้วยว่า พนักงานแต่ละคนจะมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป เช่น เป้าหมายในอาชีพของคนทำงานยุคมิลเลนเนียล มักจะแตกต่างจากคนทำงานรุ่น เบบี้ บูม หรือ เจน ซี จะต้องเป็นวัฒนธรรมที่มีพนักงานเป็นศูนย์กลาง ซึ่งพนักงานจะรู้สึกได้ว่าได้รับการสนับสนุน มีพื้นที่ให้เติบโตและเรียนรู้ 

ด้วยพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีความซับซ้อน และแตกต่างกัน บริษัทควรสร้างวัฒนธรรมที่มีคุณค่าในระยะยาว ผ่านการจัดการด้วยตนเอง เช่น ผู้จัดการ ควรให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำพนักงานหรือลูกน้อง มากกว่าจะผลักดันให้ทุกคนกระโดดเข้าไปขอความช่วยเหลือและใช้ เอไอ แทน เพราะนี่เป็นสิ่งที่ เอไอ ไม่สามารถทำได้ โดย เอไอ ไม่สามารถจัดการกับความแตกต่างในพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงได้ 

นอกจากนี้ มีผลสำรวจล่าสุด เกี่ยวกับการใช้ เอไอ ของกลุ่ม เจน ซี พบว่า ที่มีการประยุกต์ใช้ เอไอ กันมากขึ้นเกือบ 100% แต่ก็สวนทางกับความคิดอีกด้าน ที่ยังกังวลว่า เอไอ จะมาแทนที่งานของตนเองภายในทศวรรษหน้า

การสำรวจของ Google Workspace พบว่า เจน ซี ส่วนใหญ่ใช้ เอไอ เพื่อช่วยทำงานต่าง ๆ ในที่ทำงานให้ลุล่วงตามเป้าหมาย ทั้งยอมรับอย่างภาคภูมิใจด้วยว่า เอไอ จะเป็นตัวช่วยเร่งการเติบโตในหน้าที่การงานได้ สะท้อนให้เห็นว่าเปิดกว้างกับการใช้งาน เอไอ มากขึ้น

ข้อมูลดังกล่าวมาจากผลสำรวจพนักงานที่ทำงานเต็มเวลาจำนวนกว่า 1,000 คน มีอายุระหว่าง 22 ถึง 39 ปี โดย กูเกิล เรียกคนกลุ่มนี้ว่า ผู้นำรุ่นเยาว์ เพราะปัจจุบันคนกลุ่มนี้อยู่ในตำแหน่งผู้นำ(หัวหน้า) หรือมีเป้าหมายที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งงานไปสู่ระดับผู้นำในอนาคต โดยสอบถามเกี่ยวกับว่า พวกเขาใช้ เอไอ ในที่ทำงานอย่างไร

พบว่าร้อยละ 93 ของผู้ร่วมตอบแทบสอบถาม ที่มีอายุระหว่าง 22 ถึง 27 ปี หรือเกือบทั้งหมดของกลุ่ม เจน ซี ตอบว่า ใช้เครื่องมือ เอไอ อย่างน้อย 2 ตัวขึ้นไปต่อสัปดาห์ ในที่ทำงาน เช่น แชตจีพีที (ChatGPT) และ กูเกิล เจมิไน เอไอ (Google Gemini AI) เพื่อช่วยในงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การร่างอีเมล จดบันทึกในที่ประชุม และช่วยในการเอาชนะอุปสรรคทางภาษา 

ส่วนกลุ่มมิลเลนเนียล อายุระหว่าง 29 ถึง 39 ปี ที่กำลังทำสิ่งเดียวกันนี้ มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 79

ทั้งพบอีกว่าไม่ได้อาย หรือปิดเป็นความลับที่ใช้งาน แชตจีพีที ในที่ทำงานเลย เพราะมากกว่าครึ่งหนึ่ง ตอบว่า ได้มีการแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย เอไอ กับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ และสาม ในสี่ คน ตอบว่าได้แนะนำเครื่องมือ เอไอ ที่พวกเขาเคยมีประสบการณ์เชิงบวกให้กับเพื่อน ๆ ในที่ทำงานอีกด้วย

ยุลลี ควอน คิม (Yulie Kwon Kim) รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ กูเกิล เวิร์กสเปซ กล่าวว่า ผู้นำที่กำลังมาแรงกลุ่มนี้ ไม่เพียงสนับสนุน เอไอ เท่านั้น แต่ยังนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในทางที่มีความหมายอีกด้วย เช่น การปรับปรุงการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน และการเพิ่มเวลาสำหรับการทำงานในเชิงกลยุทธ์

คนเหล่านี้ ใช้ เอไอ ไม่ใช่แค่เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่ยังใช้ เพื่อเป็นตัวเร่ง ช่วยให้อาชีพการงาเติบโตขึ้น อีกด้วย

โดยพบว่า ร้อยละ 70 ของผู้ตอบแบบสำรวจ บอกว่าใช้ เอไอ เพื่อช่วยร่างอีเมลตอบกลับและร้อยละ 88 กล่าวว่า เอไอ สามารถช่วยให้ค้นหาแนวทางที่เหมาะสมได้สำหรับงานเขียน

ขณะเดียวกัน เอไอ ยังช่วยดึงศักยภาพความเป็นผู้นำออกมา และมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนประมาณ 4 ใน 5 ใช้ เอไอ เพื่อให้ตนเองเป็นผู้นำที่ดีขึ้น และจำนวนครึ่งหนึ่ง บอกว่า เอไอ เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพอย่างมากต่องานที่ทำแบบซ้ำ ๆ โดยอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถมุ่งเน้นไปในงานเชิงกลยุทธ์ได้

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งผลสำรวจที่เปิดเผยออกมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สะท้อนความคิดอีกด้านของ เจน ซี ที่กังวลว่า เอไอ จะมาแทนที่ตนเองในอีกทศวรรษข้างหน้า

โดยเป็นผลสำรวจจาก General Assembly ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยี ที่พบว่า ร้อยละ 62 ของกลุ่ม เจน ซี เชื่อว่า เอไอ สามารถเข้ามาแทนที่งานของตนเองได้ภายในทศวรรษข้างหน้า ซึ่งสวนทางกับผลสำรวจในกลุ่มผู้บริหารระดับสูง มีเพียงส่วนน้อย หรือร้อยละ 6 เท่านั้นที่คิดว่า เอไอ เป็นภัยคุกคามต่อหน้าที่การงานของตนเอง

ซึ่งรายงานข่าว ระบุว่า ความกังวลที่มีเพิ่มขึ้นในกลุ่ม เจนซี เกิดจากการทำงานของ เอไอ ที่สามารถทำงานซ้ำ ๆ สำหรับตำแหน่งงานระดับล่าง ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นงานเริ่มต้นของกลุ่ม เจนซี ขณะที่ การลดจำนวนพนักงานในช่วงที่ผ่านมา คือตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มีการปรับลดพนักงานมากกว่า 4,600 ตำแหน่งงานในสหรัฐฯ ที่มีผลสืบเนื่องมาจาก เอไอ