TNN ปี 2568 ศก.โลกส่อฟื้น ระวังสงครามการค้า

TNN

เศรษฐกิจ

ปี 2568 ศก.โลกส่อฟื้น ระวังสงครามการค้า

เปิดรายงาน OECD ล่าสุด คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2568 กระเตื้องขึ้นจากปีนี้เล็กน้อย ได้แรงหนุนจากเงินเฟ้อที่ชะลอลง การค้าโลกเริ่มฟื้น แต่ยังมีความเสี่ยงหลายเรื่องที่ต้องระวัง โดยเฉพาะสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจฉบับเดือนธันวาคม ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2567 ยังคงรองรับแรงกระแทกได้ ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง (disinflation) หรือการที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นแต่สูงขึ้นในอัตราที่ต่ำลงมีส่วนหนุนการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ประกอบกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินในเขตเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่ช่วยชดเชยความไม่แน่นอนที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความตึงเครียดในระดับภูมิภาค รวมถึงความกังวลเรื่องค่าครองชีพ 


อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแต่ละประเทศยังมีความแตกต่างกัน โดยในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว สหรัฐฯ มีการเติบโตที่แข็งแกร่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่ได้แรงหนุนจากการขยับขึ้นของค่าจ้าง สำหรับเนเธอร์แลนด์และสเปน การขยายตัวของ GDP ก็เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบรายไตรมาส แต่ในฮังการีและลัตเวียเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคในไตรมาส 3 ส่วนเยอรมนีขยายตัวเล็กน้อยจากความเชื่อมั่นที่อ่อนแอกระทบกิจกรรมการลงทุน


สำหรับประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็มีพัฒนาการที่แตกต่างกันไป อย่างกรณีของจีน การขยายตัวของ GDP ยังทรงตัวในไตรมาส 3 จากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวตามการส่งออก แต่ความต้องการบริโภคยังคงอ่อนแอ และวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ ส่วนอินเดียและอินโดนีเซียความต้องการในประเทศเป็นแรงผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องบราซิลเติบโตโดยได้แรงหนุนจากการบริโภคเอกชนและการใช้จ่ายของภาครัฐ ด้านอาร์เจนตินาก็ส่งสัญญาณฟื้นตัวหลังหดตัวตั้งแต่กลางปี 2565


ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (headline CPI) ปี 2567 ยังคงชะลอตัวในประเทศส่วนใหญ่ เนื่องจากราคาอาหาร พลังงานและสินค้าปรับลดลง โดยค่ามัธยฐาน (median) เงินเฟ้อของกลุ่ม OECD ในเดือนตุลาคมปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 2.3 ชะลอตัวจากร้อยละ 3.8 ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในจีนยังคงอยู่ในระดับต่ำมากตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนตุลาคมส่วนใหญ่อยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางแต่ละประเทศ โดยในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วอยู่ในกรอบเป้าหมายราว 2 ใน 3 และตลาดเกิดใหม่อยู่ในกรอบเป้าหมายราว 3 ใน 5 แต่เงินเฟ้อพื้นฐาน (core CPI) ยังคงสูงในหลายประเทศ สะท้อนถึงแรงกดดันเรื่องราคาที่ยังคงมีอยู่


ยกตัวอย่างกรณีของอังกฤษและสหรัฐฯ ราคาสินค้าราวครึ่งหนึ่งในตะกร้าที่ใช้วัดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 3 ในเดือนตุลาคมปีนี้ ซึ่งดัชนีชี้วัดในเขตเศรษฐกิจหลัก 9 แห่งสะท้อนถึงต้นทุนแรงงานที่เป็นปัจจัยหลักหนุนเงินเฟ้อ รวมถึงเงินเฟ้อภาคบริการที่ยังสูง โดยค่ามัธยฐานกลุ่ม OECD อยู่ที่ร้อยละ 4 เนื่องจากความต้องการที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการขาดแคลนแรงงานในบางภาคส่วน ทำให้ต้นทุนและราคาสูงขึ้น 


ขณะที่ต้นทุนด้านที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของเงินเฟ้อก็เป็นแรงกดดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศค่าเช่าบ้านขยับเพิ่มขึ้นมากในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วหลายแห่ง รวมถึงอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ลัตเวีย และโปรตุเกส ปัญหาที่อยู่อาศัยราคาเกินเอื้อมอาจจำกัดความสามารถของบุคคลในการโยกย้ายถิ่นฐาน นำไปสู่ปัญหาขาดแคลนแรงงาน แม้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง แต่แรงกดดันต่อราคาที่อยู่อาศัยยังคงอยู่จนกว่าปริมาณบ้านจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


รายงานระบุด้วยว่า ปริมาณการค้าโลกฟื้นตัวอย่างมั่นคงในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การส่งออกของจีนและเขตเศรษฐกิจในเอเชียที่มีพลวัตยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่นเดียวกับการค้าภาคบริการที่เติบโต ทั้งธุรกิจบริการและท่องเที่ยว ข้อมูลล่าสุดบางส่วนยังบ่งชี้ว่า แรงเหวี่ยงด้านการเติบโตของการค้าโลกยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยปริมาณตู้คอนเทนเนอร์และปริมาณผู้โดยสารระหว่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้น การผลิตด้านเทคโนโลยีในเอเชียก็ยังแข็งแกร่งในไตรมาส 3 ปีนี้ แต่ยอดขายรถยนต์ซบเซาเป็นส่วนใหญ่ในปีนี้ รวมถึงคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกที่ลดลง โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจใหญ่สุดของยุโรป ซึ่งอาจเกี่ยวโยงกับความเสี่ยงในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 6.9 ของมูลค่าการส่งออกไปนอกสหภาพยุโรป (EU) และร้อยละ 5.9 ของการส่งออกภายใน EU ในปี 2566


ในแง่ห่วงโซ่อุปทานโดยรวมยังคงเป็นไปด้วยดี แม้ว่าการจัดส่งที่ล่าช้าและความแออัดในการขนส่งจะเพิ่มขึ้นในศูนย์กลางสำคัญบางแห่งของเอเชีย เนื่องจากระยะทางที่ยาวขึ้นในการขนส่งของเรือบรรทุกสินค้าที่หลีกเลี่ยงทะเลแดง ส่วนปริมาณการขนส่งทางอากาศก็เพิ่มขึ้นในปีนี้ อานิสงส์จากอี-คอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง


คาดการณ์ว่า ปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 3.5 ในปีนี้ และร้อยละ 3.6 ในปีหน้า ก่อนจะขยับแตะร้อยละ 3.5 ในปี 2569 โดยการขยายตัวด้านการค้าในตลาดเกิดใหม่ ประกอบกับแรงหนุนด้านการลงทุนและการบริโภคในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ มีส่วนขับเคลื่อนการค้าให้เติบโตขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าการเติบโตของการค้าจะสมดุลมากขึ้น เนื่องจากการค้าในยุโรปที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2567-2569 การค้าโลกจะเติบโตแข็งแกร่งกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนวิกฤตโควิด แต่ก็ไม่ใช่ทุกเขตเศรษฐกิจ หลัก ๆ จีนและตลาดเกิดใหม่จะเติบโตอย่างโดดเด่น และจีนมีแนวโน้มที่สัดส่วนการค้าโลกจะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้า


รายงานล่าสุด OECD ประเมินว่า การขยายตัวของ GDP โลกในปีนี้น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ทั้งในปี 2568 และ 2569 โดยผลกระทบจากนโยบายเข้มงวดทางการเงินที่ออกฤทธิ์ล่าช้าจะคลี่คลายลง และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังเงินเฟ้อชะลอตัวจะมีส่วนหนุนการใช้จ่ายที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยในปี 2568-2569 โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน ส่วนภาวะเงินเฟ้อลดลงจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของรายได้ครัวเรือนที่แท้จริงและในบางประเทศยังเปิดช่องให้ชะลออัตราการออมของครัวเรือนลงอีกเพื่อสนับสนุนการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชน


เขตเศรษฐกิจในกลุ่ม OECD มีแนวโน้มที่การเติบโตของ GDP จะอยู่แถวร้อยละ 1.9 ในปี 2568 และ 2569 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด แต่ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ ส่วนเขตเศรษฐกิจนอกกลุ่ม OECD น่าจะเติบโตชะลอลงเล็กน้อย โดยเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียยังคงเป็นเสาหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก


นอกจากนี้ ยังคาดว่าธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากเงินเฟ้อชะลอตัวและแรงกดดันในตลาดแรงงานบรรเทาลง สำหรับในเขตเศรษฐกิจส่วนใหญ่ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจลดลงสู่ระดับปกติในปี 2569และนโยบายการคลังจะเข้มงวดขึ้นในหลายประเทศของกลุ่มOECD ในปี 2568 และ 2569 ส่วนจีนจะยังคงสนับสนุนทางการคลังและการเงินต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ในบราซิล อินเดีย และเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในตลาดเกิดใหม่หลายแห่ง มีแนวโน้มที่นโยบายการเงินจะเข้มงวดมากขึ้นในปี 2 ปีข้างหน้า


รายงานดังกล่าวคาดการณ์การขยายตัวของเขตเศรษฐกิจหลัก ๆ เริ่มจากสหรัฐฯ ที่น่าจะเติบโตแข็งแกร่ง โดยการเติบโตของ GDP มีแนวโน้มอยู่ที่ร้อยละ 2.8ในปีนี้ ก่อนชะลอแตะร้อยละ 2.4ในปีหน้า และร้อยละ 2.1ในปี 2569 ทั้งนี้ กระแสการอพยพของแรงงานต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตขยายตัว ขณะที่คาดว่าการบริโภคของภาคเอกชนจะชะลอตัวลง


ด้านเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโตอย่างรวดเร็วและแตะร้อยละ 1.5ในปี 2568 เนื่องจากค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มขึ้น ผลกำไรภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และการอุดหนุนทางการเงินของรัฐเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน แต่คาดว่าในปี 2569GDP จะเติบโตเหลือร้อยละ 0.6ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปสู่การผสมผสานนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เข้มงวดขึ้น


การเติบโตในเขตยูโรโซน หรือประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.8ในปีนี้ เป็นร้อยละ 1.3ในปี 2568 และร้อยละ 1.5ในปี 2569 โดยกำลังการผลิตส่วนเกินจะหมดไปภายในสิ้นปี 2569 อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและการใช้จ่ายของกองทุนฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องจะสนับสนุนด้านการลงทุน ส่วนการบริโภคภาคเอกชนจะได้แรงหนุนจากการตึงตัวในตลาดแรงงานและภาวะเงินเฟ้อลดลง 


กรณีของจีน การเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะผ่อนลงจากร้อยละ 4.9 ในปีนี้ อยู่ที่ร้อยละ 4.7ในปีหน้า และร้อยละ 4.4ในปี 2569การบริโภคจะยังทรงตัว แต่ถูกบั่นทอนด้วยอัตราการออมที่ยังสูงและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอ่อนแอ ส่งผลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ด้านการลงทุนจะได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายาทงการเงินและการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น 


สำหรับอินเดียน่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยอินเดียจะได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและการบริโภคภาคเอกชน หนุนให้ GDP ยังโตแถวร้อยละ 7 ในปีงบประมาณ 2568-2569 และ 2569-2570 // ด้านเม็กซิโกน่าจะโตร้อยละ 1.4 ในปีนี้ ก่อนชะลอแตะร้อยละ 1.2 ในปีหน้า และร้อยละ 1.6 ในปี 2569 


อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญความเสี่ยงหลายเรื่อง โดยเฉพาะการค้าโลก ซึ่งรายงานล่าสุดประเมินบนสมมติฐานที่ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการค้า แต่การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” อาจทำให้นโยบายการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีแผนจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ  


“อัลวาโรเปเรรา” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ OECD กล่าวเตือนว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้าและนโยบายกีดกันการค้า โดยภาษีที่สูงขึ้นมีแนวโน้มจะทำให้การเติบโตชะลอตัวและผลักดันให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นซึ่งจะดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น 


สำหรับความเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในตะวันออกกลางหรือสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาจนำไปสู่การกำหนดเบี้ยประกันความเสี่ยงที่สูงขึ้นในตลาดน้ำมันโลก แม้ปริมาณการผลิตจะเพียงพอในปัจจุบัน แต่ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานอาจส่งผลกระทบต่อราคา // ภาวะเงินเฟ้อลดลงล่าช้ากว่าที่คาด ทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ไม่สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้รวดเร็ว // สถานการณ์เชิงลบที่กระทบความเสี่ยงต่อตลาดการเงิน // ราคาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่ร่วงลงจนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน // ความเสี่ยงเชิงลบต่อตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา อาทิ เงินทุนไหลออก หรือแรงกดดันต่อค่าเงินท้องถิ่น // เศรษฐกิจจีนที่ยังไม่แน่นอน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากกว่า 1 ใน 4 ในปีนี้ 


ที่มา TNN

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง