ส่องยอดขาย "ตู้เต่าบิน" ยังฮอตฮิตไหม l การตลาดเงินล้าน

"เต่าบิน" ตู้เครื่องดื่มชงสดอัตโนมัติของคนไทยประกาศพร้อมกลับมาบุกตลาดอีกครั้ง ล่าสุดสร้างสีสันเอาใจคนรักสุขภาพผิว กับแคมเปญ "Tao Bin X Jemila" (เจมิลา) 10 เมนูพิเศษ เพิ่มความสดชื่นเสิร์ฟถึง 25 ตุลาคม 2567 เท่านั้น

คุณ วทันยา อมตานนท์ ผู้บริหาร ตู้เต่าบิน บอกว่า ช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงของการจัดการภายในบ้านให้เรียบร้อย ซึ่งตอนนี้พร้อมแล้ว และจากนี้ไปจะมุ่งทำการตลาดให้มากขึ้น ด้วยการนำ เดต้า ที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งวิเคราะห์การตลาด ตอบโจทย์ลูกค้า และขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ 

และตั้งแต่ต้นปีหน้า (ปี 2568) จะเน้นเรื่องการบริหารโลเคชัน คือจุดไหน ที่ยอดขายไม่ดี ก็จะย้ายไปทำเลใหม่ ที่มีศักยภาพดีกว่า ตลอดจนเดินหน้าขยายไปยังตลาดต่างประเทศด้วย

สำหรับเป้าหมายการขยายจำนวนตู้ ภายในประเทศ // คาดว่า ในสิ้นปีนี้ จำนวนตู้เต่าบินจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,500 ตู้ และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึง 10,000 ตู้ภายใน 1 ถึง 2 ปีนี้ นอกจากนี้ จะมี เต่าบิน สเตชัน ซึ่งเป็นตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ระยะแรกตั้งเป้าไว้จำนวน 400 ตู้ และ เต่าบิน คาเฟ่ ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบเฟรนไชส์ คาดว่าจะได้เห็น 2 แห่งภายในสิ้นปีนี้

ย้อนดูผลประกอบการของตู้ เต่าบิน ช่วงที่ผ่านมา ปี 2564 เป็นปีแรกที่เปิดตัว ถึงสิ้นปี จำนวนตู้เต่าบินที่ติดตั้ง อยู่ที่จำนวน 566 เครื่อง, ปริมาณยอดขาย อยู่ที่จำนวน 2 ล้านแก้ว และ มูลค่ายอดขาย 68 ล้านบาท

จากนั้น ด้วยกระแสที่มาแรงมาก ทำให้ปี 2565 ได้เห็นการเติบโตของทั้งจำนวนเครื่อง และยอดขายเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และ ณ สิ้นปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 4,942 ตู้, ปริมาณยอดขาย 46 ล้านแก้ว ส่วนมูลค่ายอดขายเพิ่มเป็น 1,510 ล้านบาท 

พอมา ปี 2566 จำนวนตู้เต่าบินที่ติดตั้ง เพิ่มขึ้นเป็น 6,567 ตู้ ในสิ้นไตรมาส 3 (ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุด) แต่เมื่อสิ้นไตรมาส 4 ของปีเดียวกัน จำนวนตู้ กลับลดลง มาอยู่ที่จำนวน 6,392 ตู้ ส่วน ปริมาณยอดขายทั้งปี ในภาพรวมยังเติบโต อยู่ที่จำนวน 76 ล้านแก้ว และ ยอดขาย ที่คิดเป็นมูลค่า อยู่ที่ 2,290 ล้านบาท

สำหรับปีนี้ 2567 ณ สิ้นไตรมาส 2 จำนวนตู้ที่ติดตั้ง เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยจากปีที่แล้ว เป็นจำนวน 6,596 ตู้ ส่วนยอดขายที่เป็นจำนวนแก้ว เป็นจำนวน 33 ล้านแก้ว และเป็นมูลค่า 999 ล้านบาท

นอกจากนี้ เมื่อเจาะลงไปดูเป็นรายไตรมาส จะเห็นภาพการชะลอตัวของยอดขาย ของเต่าบิน ซึ่งลดลงมา 3 ไตรมาสติดต่อกัน

โดยไตรมาส 3 ปี 2566 เป็นไตรมาสที่มียอดขายสูงสุด อยู่ที่ จำนวนกว่า 20 ล้านแก้วมีมูลค่ายอดขาย อยู่ที่ 599 ล้านบาท

จากนั้นก็เริ่มชะลอตัว ซึ่ง ไตรมาส 4 ปี 2566 เป็นไตรมาสแรก ที่เริ่มเห็นตัวเลขชะลอตัว ซึ่งมีปริมาณยอดขาย อยู่ที่ จำนวน 18 ล้านแก้ว และมีมูลค่า 524 ล้านบาท

มาในปีนี้ ไตรมาส 1 ปริมาณยอดขาย ลดลงมาที่จำนวน 17 ล้านแก้ว ส่วนมูลค่ายอดขาย อยู่ที่ 506 ล้านบาท

และข้อมูลล่าสุด ไตรมาส 2 ปีนี้ ปริมาณยอดขายยังลดลงอีก อยู่ที่กว่า 16 ล้านแก้วและมีมูลค่า 493 ล้านบาท