'กาแฟชาวดอย' ขึ้นราคาเหตุต้นทุนพุ่ง 200% l การตลาดเงินล้าน
'กาแฟชาวดอย' ปรับขึ้นราคาเครื่องดื่ม 5-10 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา เหตุต้นทุนวัตถุดิบกาแฟและโกโก้ ราคาพุ่ง 50-200%
เพจ Chaodoicoffee ประกาศแจ้งปรับราคาเมนูเครื่องดื่ม เนื่องจากสถานการณ์เมล็ดกาแฟ รวมถึงวัตถุดิบหลายรายการ ที่เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่ม มีการปรับตัวสูงขึ้นมาในระยะเวลาหนึ่ง โดยทางแบรนด์ชาวดอยมีการตรึงราคาเพื่อไม่ให้กระทบต่อลูกค้ามาระยะหนึ่ง โดยยังควบคุมมาตรฐาน คุณภาพ เครื่องดื่ม คงไว้ ทางแบรนด์จึงต้องขอเรียนแจ้งปรับราคาเครื่องดื่มบางเมนูมีผลตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน 2567
กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือ อโรม่า กรุ๊ป โดยมี K.V.N. เป็นบริษัทในเครือ เป็นเจ้าของแบรนด์กาแฟชาวดอย กล่าวว่า กาแฟชาวดอย ปรับขึ้นราคาสินค้ากาแฟ 5-10 บาท เนื่องจาก ต้นทุนวัตถุดิบจากกาแฟสายพันธุ์อราบิก้า เมล็ดกาแฟปรับราคาขึ้นกว่าร้อยละ 50 โรบัสต้า ปรับขึ้นร้อยละ 70 และโกโก้ ปรับขึ้น 200% สำหรับวัตถุดิบที่ขึ้นราคาสูงมาก มาจากตลาดโลกที่ผู้ผลิตหลักกาแฟ คือ บราซิล มีผลผลิตลดลงในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การปรับราคาสินค้ายังมุ่งคงคุณภาพของเครื่องดื่มไว้เหมือนเดิม ส่วนทิศทางหลังจากนี้ไป จะพยายามตรึงราคาให้มากที่สุด เนื่องจาก ภาพรวมกำลังซื้อตลอดปี 2567 ยังไม่ดีนัก ทำให้ผู้ประกอบการร้านกาแฟหลายรายได้รับผลกระทบ และเห็นสัญญาณการปิดตัวของร้านกาแฟแบรนด์ต่าง ๆ ในหลายทำเล
ในช่วงเกือบสองปีก่อน ได้ปรับขึ้นราคาไปแล้ว แต่ในปีนี้มาปรับราคาใหม่อีกครั้ง ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยขึ้นราคาให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ยังไม่เป็นผลบวกต่อการนำเข้ามากนัก
ปัจจุบัน กาแฟชาวดอย มีสาขาเปิดให้บริการทั่วประเทศประมาณ 250 สาขา
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า ราคากาแฟมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาด้านปริมาณผลผลิตส่งผลให้ราคากาแฟ Arabica (อาราบิกา) เกรดพรีเมียมอาจพุ่งแตะระดับสูงสุดรอบ 13 ปี ส่วนราคาโรบัสตา ก็ขยับขึ้นเช่นกัน โดยช่วงกลางเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ปรับเพิ่มสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2554 ขณะที่ราคากาแฟขยับขึ้นแล้วเกือบร้อยละ 40 นับตั้งแต่ต้นปีนี้ เนื่องจากปัญหาขาดแคลนกาแฟพันธุ์โรบัสตาที่มีราคาย่อมเยา ทำให้ความต้องการบริโภคอาราบิกาเพิ่มขึ้น ส่วนราคากาแฟโรบัสตาก็ขยับขึ้นร้อยละ 4.2
ราคากาแฟที่เพิ่มขึ้นมาจากความกังวลเกี่ยวกับสภาพอากาศในประเทศผู้ผลิตอย่างบราซิล ซึ่งมีแนวโน้มที่ฤดูการเพาะปลูกในปี 2567-2568 น่าจะชะลอตัว หลังปัญหาอากาศร้อนและแห้งแล้งที่กระทบปริมาณผลผลิต
ข่าวแนะนำ
