TNN รู้จัก "โอ้กะจู๋" จากฟาร์มผักสู่ธุรกิจพันล้าน l การตลาดเงินล้าน

TNN

เศรษฐกิจ

รู้จัก "โอ้กะจู๋" จากฟาร์มผักสู่ธุรกิจพันล้าน l การตลาดเงินล้าน

รู้จักร้านสลัด "โอ้กะจู๋" เป็นบริษัทฯ ที่เติบโตเร็ว ด้วยยอดขายปี 2566 กว่า 1,700 ล้านบาท ล่าสุด เตรียมระดมทุน เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

จุดเริ่มต้นของ โอ้กะจู๋ มาจากความฝันของเพื่อนสนิท 2 คน ชื่อว่า อู๋ และ โจ้ ที่อยากลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรร่วมกัน เมื่อจบการศึกษา จึงเริ่มทำแปลกผัก ในปี 2553 โดยมีอุดมการณ์หลัก คือการปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ วิถีธรรมชาติ เริ่มจากการปลูกผักสวนครัวทั่วไป และผักสลัดบางชนิด ซึ่งผลผลิตที่ได้ ก็นำไปประกอบอาหารกันภายในครอบครัว และนั่นจึงเป็นที่มาของสโลแกน ปลูกผักเพราะรักแม่ และในเวลาต่อมาก็ตั้งเป็นชื่อบริษัท 

โอ้กะจู๋ มีจุดเปลี่ยนของการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจุดเปลี่ยนแรก คือการเปิดร้านคาเฟ่ เมื่อปี 2556 ที่เน้นเมนูสลัด และผลผลิตจากสวนเกษตรอินทรีย์ และต่อมาปรับปรุงเป็นร้านอาหาร (ถือเป็นสาขาแรก) และได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งจากคนในพื้นที่เอง (จังหวัดเชียงใหม่) และจากนักท่องเที่ยว

จุดเปลี่ยนต่อมาคือปี 2560 มีการขยายสาขาเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งสาขาแรก อยู่ที่สยามสแควร์ และที่นี่เอง ก็ได้สร้างปรากฏการณ์รอคิดกันยาวเหยียด จนต้องเปิดสาขาเพิ่ม รวมถึงมีการขยายสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อเนื่อง 

และอีกจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ การที่บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ โออาร์ (บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก) ได้เข้ามาถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 เมื่อปี 2564 และจากการที่เป็นทั้งพันธมิตร และผู้ถือหุ้น ก็ทำให้ โอ้กะจู๋ ได้ผลิตสินค้า เช่น แซนวิช แร็พ เพื่อจำหน่ายในร้าน คาเฟ่ อเมซอน อีกด้วย 

ล่าสุด โอ้กะจู๋ กำลังจะขายหุ้น ไอพีโอ ในสัปดาห์หน้า จำนวน 159 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 6.70 บาท เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุน ไปใช้ในการขยายสาขา สร้างครัวกลางแห่งใหม่ และเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ

คุณ ชลากร เอกชัยพัฒนกุล (หรือคุณ อู๋) ซึ่งเป็นทั้ง ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เทรนด์การดูแลใส่ใจสุขภาพของผู้คน ไม่ได้เป็นแค่ เทรนด์ แต่เป็น เมกะเทรนด์ ถือเป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ถึงลูกค้า และด้วยตลาดที่กำลังเติบโต จึงคิดว่าการระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะทำให้บริษัทฯ สามารถขยายสาขา และเติบโตได้ รวมถึงสร้างความมั่นคงให้กับแบรนด์และธุรกิจด้วย 

พาไปดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีของ โอ้กะจู๋ และ 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งเห็นการเติบโตของธุรกิจ เริ่มที่ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมกว่า 800 ล้านบาท แต่มีผลขาดทุนสุทธิ อยู่ที่ 84 ล้านบาท 

แต่พอมาในปี 2565 รายได้รวม เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,200 ล้านบาท และพลิกมาเป็นกำไร โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 38 ล้านบาท ส่วนปี 2566 ก็เติบโตขึ้นอีก มีรายได้รวมอยู่กว่า 1,700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 140 ล้านบาท

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมแล้ว กว่า 1,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลจากหนังสือชี้ชวน บริษัทฯ ระบุว่า เป็นผลมาจากการเติบโตของสาขาใหม่ และบริษัทยังรับรู้รายได้จากการเปิดร้านอาหาร และเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ร้าน โอ้กะจู๋ แร็พ แอนด์ โรลล์ (Ohkajhu Wrap & Roll) ที่เปิดสาขาแรกเมื่อเดือนเมษายน และแบรนด์ร้าน โอ้ จูซ (Oh! Juice) ซึ่งเปิดสาขาแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา 


รู้จัก โอ้กะจู๋ จากฟาร์มผักสู่ธุรกิจพันล้าน l การตลาดเงินล้าน


สำหรับเป้าหมายการขยายสาขา ปัจจุบัน ร้านอาหาร โอ้กะจู๋ มีสาขารวม 37 สาขา มีเป้าหมายจะเพิ่มอีก 30 สาขาภายในปี 2571 รวมเป็นจำนวนสาขารวม 67 สาขา

และอีก 2 แบรนด์ใหม่ คือ โอ้กะจู๋ แร็พ แอนด์ โรลล์ ซึ่งเป็นร้านอาหารในรูปแบบ จานด่วน (QSR) ขณะนี้ยังมีเพียง 1 สาขา และภายในปี 2571 จะเพิ่มเป็น 20 สาขา ส่วนร้านน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ แบรนด์ โอ้ จูซ จะเพิ่มจาก 6 สาขาในปัจจุบัน เป็น 70 สาขา รวมสาขาใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 113 สาขา และจะทำให้มีสาขารวมเป็น 157 สาขาภายในปี 2571

นอกจากนี้ คุณอู๋ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน แบรนด์โอ้กะจู๋ อาจจะยังไม่ใช่ผู้นำในตลาดร้านสลัด แต่จากการขยายสาขาเพิ่มเติม เชื่อว่าในปีหน้า (2568) จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำในตลาดร้านสลัดได้ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง และตรงกับความต้องการของลูกค้า และด้วยจุดแข็งของบริษัทฯ คือการมีฟาร์มปลูกผักเป็นของตัวเอง ที่จะสามารถควบคุมคุณภาพได้เอง ขณะเดียวกัน ก็คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย จากทีมวิจัยและพัฒนา ตั้งแต่ต้นน้ำคือการปลูกผัก ไปจนถึงการพัฒนาสูตรอาหาร และเครื่องดื่ม รวมถึง ศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ และกระแสนิยมของผู้บริโภค เพื่อสามารถออกเมนูใหม่ ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย และแตกต่างจากอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไป

บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างมั่นคง และเน้นเติบโตอย่างมีคุณภาพ รวมถึงต้องการเป็น Top of Mind Brand ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็ตาม

ขณะเดียวกัน มีแผนจะพัฒนาแบรนด์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ตลอดจนการขยายช่องทางการจำหน่าย โดยต่อยอดจากธุรกิจหลัก


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง