เม็ดเงินใหม่กว่าแสนล้าน จ่อเข้าซื้อหุ้นไทย
ช่วงที่เหลือของปี บรรดานักวิเคราะห์คาดหวังไปในทิศทางเดียวกันว่า SET Index ของบ้านเรา จะผ่าน 1,400 จุดได้ไม่ยาก จากหลายแรงส่ง
คุณชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เชื่อว่าปีนี้มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีหุ้นไทย ไปต่อถึงระดับ 1,400 จุดได้ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากโครงการเงินดิจิทัล และเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งเป็นตัวสนับสนุนสภาพคล่องของตลาด โดยบัวหลวงฯ ประเมินว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของภาครัฐ น่าจะมีผลต่อ GDP ไทยเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 0.3 ขณะที่คาดหวังเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ใหม่จะเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 67 ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับลดเป้าหมายปลายปีนี้ลงมาที่ระดับ 1,396 จุด ซึ่งในกรณีนี้ไม่รวมโครงการเงินดิจิทัล โดยเป็นการปรับลดจากเป้าหมายเดิมที่ระดับ 1,466 จุด โดยระดับเป้าหมายที่ 1,396 จุดนั้น ซื้อขายบน Forward P/E ที่ระดับ 15.60 เท่าและคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนรวมจะเติบโตร้อยละ 7.5
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ บัวหลวงยังแนะนำจัดพอร์ตลงทุนแบบตั้งรับอย่างเต็มตัว เพื่อตั้งการ์ดรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหลายประเทศคู่ค้าของไทยที่เติบโตชะลอตัว รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและสินทรัพย์ต่าง ๆ เกิดความผันผวนได้ โดยพอร์ตลงทุนแนะนำล่าสุด ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงมาอยู่สัดส่วนร้อยละ 20 จากต้นปี 67 ที่อยู่ราวร้อยละ 60-80 และได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในสัดส่วนร้อยละ 80
ทั้งนี้ ถ้าดูเฉพาะหุ้นไทย บัวหลวงให้น้ำหนักการลงทุน ในสัดส่วนต่ำเพียงร้อยละ 2 ของพอร์ตรวมเท่านั้น
ด้านคุณอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ที่แนะนำให้ติดตามการทำงานของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะการแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบาง ที่จะต้องดำเนินการก่อน 30 กันยายน เพื่อให้ทันใช้เงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 วงเงิน 122,000 ล้านบาท รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งหากทำสำเร็จตามเงื่อนเวลาที่กำหนด ก็คาดจะขับเคลื่อน SET Index ขึ้นไปแกว่งเหนือระดับ 1,400 จุดได้ไม่ยาก
นอกจากแรงส่งข้างต้นแล้ว ทิสโก้ฯ ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากกระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้า โดยเห็นสัญญาณตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และคาดว่าเงินต่างชาติจะไหลเข้าต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ จาก 3 ประเด็นคือการเมืองมีความชัดเจนแล้วและเสถียรภาพรัฐบาลใหม่ดูแข็งแกร่งกว่าเดิม ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดโลกและซื้อขายที่ระดับ PER ถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และปัจจัยบวกสุดท้าย คือโอกาสการซื้อคืนของต่างชาติ หลังจากที่ปีนี้ (YTD) ยังมียอดขายสุทธิสะสมมากกว่า 120,000 ล้านบาท ทั้งนี้ หากผสานกับเม็ดเงินกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ที่ปรับเงื่อนไขแล้วน่าดึงดูดขึ้น ก็คาดว่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยโดยรวม
และจากมุมนทั้งหมดที่กล่าวมา ทิสโก้จึงแนะนำกลยุทธ์หาจังหวะสะสมหุ้นขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะเป็นเป้าเงินทุนไหลเข้าในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักต่าง ๆ ซึ่งมีหุ้นเด่นอย่างเช่น AOT, ADVANC, BJC, GULF, PTT, TTB ผสานกับหุ้นที่แนวโน้มกำไรดีมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวในระยะสั้น ที่แนะนำ CK, FM, ICHI เป็นหุ้นเด่น
ปิดท้ายที่ความเห็นของฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ที่ให้ข้อมูลว่าในปีนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศ ยังซื้อสุทธิหุ้นไทยค่อนข้างน้อยเพียง 4,100 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น ในช่วงที่เหลือของปี ฝ่ายวิจัยฯ จึงคาดหวังว่ามีโอกาสที่จะเห็นสถาบันฯ กลับมาซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น จากแรงส่งใน 2 ส่วน
ส่วนแรก คือกองทุน Thai ESG ที่ปรับเงื่อนไขใหม่ ที่เชื่อว่าเม็ดเงินน่าจะทยอยเข้าลงทุนต่ออีกประมาณ 20,000 – 30,000 ล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปี ส่วนที่สอง มาจากกองทุนวายุภักษ์ใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 1 – 2 เดือนนี้ และคาดหวังเม็ดเงินหนุนตลาดหุ้นไทยราวราว 100,000 – 150,000 ล้านบาท
และจากความคาดหวังจากทั้ง 2 ปัจจัย เอเซีย พลัสจึงแนะนำเก็งกำไรหุ้น 10 บริษัท คาดหวังเม็ดเงินใหม่หนุนทั้งจากกองทุน ESG ใหม่ และวายุภักษ์ใหม่ ซึ่งก็ได้แก่ PTT, BCP, KTB, ADVANC, SCC, KBANK, CRC, CPF, SCGP และ OR
ข่าวแนะนำ