Tesla ดับฝัน? ตั้งโรงงานในอาเซียน l การตลาดเงินล้าน
ก่อนหน้านี้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รวมถึง ไทย ยื่นข้อเสนอชวน Tesla ให้เข้ามาตั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้า แต่ล่าสุดดูจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
สื่อเว็บไซต์ของไทย และเอเชีย ต่างรายงานความคืบหน้าในเรื่องนี้ โดยเดอะ เนชั่น อ้างแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า เทสลา ได้ล้มเลิกความสนใจ ที่จะตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และจะมุ่งเน้นไปที่การลงทุน สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จากเดิมที่มีคาดการณ์ออกมาก่อนหน้านี้ว่า เทสลา อาจมีการลงทุนสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก เทสลา ยุบทีมบริหารที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในไทย แต่ก็จะไม่ดำเนินการต่อ ในมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และที่อื่น ๆ ยกเว้น จีน อเมริกา และเยอรมนี
(ในเวลาต่อมา) สำนักข่าว เบอร์นามา ของมาเลเซีย รายงานว่า ข่าวดังกล่าวเป็นเพียงรายงานจากบุคคลที่ 3 ซึ่งยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการจาก เทสลา โดย รัฐมนตรีกระทรวงการลงทุน การค้าและอุตสาหกรรม ของมาเลเซีย กล่าวว่า ข้อตกลงก่อนหน้านี้ของมาเลเซีย และเทสลา คือการลงทุนในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งก็คือการลงทุนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ได้เป็นข้อตกลงการตั้งโรงงานในประเทศแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ตัวแทน เทสลา จากสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ยังเตรียมเข้าหารือถึงแผนการลงทุนดังกล่าวในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ อีกด้วย
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี มาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ให้ความเห็นว่า การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นจากคู่แข่ง จีน มีส่วนในการตัดสินใจของ เทสลา
ทั้งนี้ ตามรางานของ อีวาย พาร์ธีนอน (EY - Parthenon) ซึ่งเป็นบริษัทด้านกลยุทธ์ของ เอิร์นสต์ แอนด์ ยัง (Ernst & Young) คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีมูลค่าสูงถึง 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2578 ซึ่งเป็นการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปี 2564 ที่มีมูลค่าเพียง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น
และยังมีรายงานข่าวเพิ่มเติม โดยอ้างมุมมองจากนักวิเคราะห์ บอกว่า เทสลา มาช้าไปสำหรับตลาดนี้ และราคารถอีวี ก็สูงกว่า อีวีของแบรนด์จีน โดยอาเซียน ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับรถ อีวี แต่ปัจจุบันถูกครอบงำโดยผู้ผลิตจากจีนหลายแห่ง เช่น บีวายดี ที่ครองตลาดอีวีในภูมิภาคนี้อยู่ และยังนำเสนอในราคาที่ถูกกว่า
อย่างในมาเลเซีย เทสลา มีบทบาทเป็นอันดับ 2 รองจาก บีวายดี โดยปี 2566 ที่ผ่านมา บีวายดี มียอดขายรถมากกว่า 8,000 คัน สูงกว่า เทสลา ที่ขายได้ 3,000 คัน
นอกจากนี้ อาเซียนยังเป็นตลาดที่ไม่เหมือนกับตลาดที่อื่น ๆ เพราะผู้ขับขี่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่มีงบประมาณจำกัด (คือ มีงบ ต่ำกว่าผู้ขับขี่ในตลาดอื่น ๆ) ดังนั้น การจะดึงดูดพวกเขาให้ซื้อ จึงผลักดันให้เกิดสงครามราคาในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(อีกหนึ่งประเทศในเอเชีย ที่มีความคาดหวังต่อการลงทุนจาก เทสลา แต่ก็ถูกลดความคาดหวังนั้นลงไป ก็คือ อินเดีย)
สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานเมื่อเดือนที่แล้ว บอกว่า อินเดีย ไม่คาดหวังแล้ว ว่าเทสลาจะเดินหน้าลงทุนตั้งโรงงานในประเทศ หลังจากผู้บริหารของบริษัทดังกล่าว หยุดการติดต่อ และไม่ได้มีการสอบถามใด ๆ เพิ่มเติมอีก หลังจาก อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้เลื่อนแผนการเดินทางเยือนอินเดีย เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ซึ่งแหล่งข่าว ให้ข้อมูลกับ บลูมเบิร์ก ว่า เทสลาอาจมีปัญหาด้านเงินทุน และไม่มีแผนที่จะลงทุนในอินเดียในอนาคตอันใกล้นี้
การลดความสนใจลงทุนในอินเดีย เกิดขึ้น เมื่อ เทสลา รายงานการส่งมอบรถยนต์ รายไตรมาสทั่วโลก ลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน และยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในจีน
เมื่อเดือนเมษายน มัสก์ ยังประกาศลดพนักงานจำนวนมาก ขณะที่รถกระบะไฟฟ้า ไซเบอร์ทรัก (Cybertruck) มีการผลิตล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเม็กซิโก ก็ล่าช้าออกไป
โดย มัสก์ ยกเลิกแผนการเยือนอินเดีย รวมถึงการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี โดยอ้างถึงปัญหาเร่งด่วนของบริษัท ซึ่งแต่เดิม เขาได้ประกาศการเยือนอินเดีย ไม่กี่สัปดาห์ หลังจากอินเดียลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศ และคาดว่าจะมีการลงทุนอย่างน้อย 41,500 ล้านรูปี และจะเริ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากโรงงานท้องถิ่นภายใน 3 ปี
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดีย ปักหมุดความหวังไว้กับผู้ผลิตภายในประเทศอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทาทา มอเตอร์ส จำกัด (Tata Motors Ltd.) และบริษัท มหินทรา แอนด์ มหินทรา จำกัด (Mahindra & Mahindra Ltd) ในการเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่หาก อีลอน มัสก์ เปลี่ยนใจ หรือกลับมามีส่วนร่วมกับแผนการนี้อีกครั้ง เทสลา ก็ยังจะสามารถใช้ประโยชน์จากนโยบายการนำเข้าภาษีใหม่นี้ได้ต่อไป
มีข้อมูลจาก บลูมเบิร์ก เอ็นอีเอฟ (BloombergNEF) รายงานด้วยว่า ตลาดอีวี ของอินเดีย ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อปีที่แล้ว (2566) รถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.3 เท่านั้น โดยผู้ขับขี่ชาวอินเดียจำนวนมากยังลังเลใจที่จะเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์สันดาปภายใน เป็นรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจาก รถ อีวี มีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสูง และสถานีชาร์จ ภายในประเทศก็ยังไม่เพียงพอ
เทสลา รายงานยอดการผลิตและการส่งมอบรถ ไตรมาส 2 ปี 2567 โดยมียอดผลิตรถยนต์จำนวน 410,831 คัน และส่งมอบจำนวน 443,956 คัน เมื่อเทียบกับตัวเลขการส่งมอบในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีจำนวน 466,140 คัน คิดเป็นลดลง ร้อยละ 4.8 แต่หากเทียบกับไตรมาส 1 ของปีเดียวกัน ที่มียอดส่งมอบ จำนวน 386,810 คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.8
ซึ่งในปีนี้ เทสลา ได้เสนอส่วนลดและสิ่งจูงใจอื่น ๆ มากมาย เพื่อพยายามกระตุ้นยอดขาย เช่น ในจีน เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา เทสลา เสนอสินเชื่อดอกเบี้ย ศูนย์ เปอร์เซนต์ เพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อ รถรุ่น Model 3 หรือ Model Y ซึ่งจากข้อมูลรายงานประจำปีของบริษัทฯ ปี 2566 เทสล่า สร้างรายได้รวมจากตลาดจีน อยู่ที่ประมาณ 21,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 22.5 ของยอดขายรวมทั้งหมด
ส่วนความคืบหน้าของการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ในปีนี้ คือ โรโบแท็กซี (Robotaxi) หรือ แท็กซี่ไร้คนขับ เว็บไซต์ อิเล็กเทรก (Electrek) รายงานว่า อีลอน มัสก์ ได้ยืนยันในวันแถลงผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ผ่านมา // ว่าการเปิดตัว โรโบแท็กซี่ จะมีขึ้นในวันที่ 10 ตุลาคม ของปีนี้ ซึ่งเลื่อนออกมาจากกำหนดเดิมที่จะเปิดตัวในวันที่ 8 สิงหาคม
ความล่าช้าดังกล่าว เกิดจากการเปลี่ยนแปลงบางอย่างตามที่ มัสก์ ต้องการ แม้ไม่ได้มีการอธิบายเพิ่มเติม แต่เขาบอกว่า อาจจะมีบางอย่างที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่รอคอย
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทสลา ได้พัฒนารถยนต์ที่ออกแบบตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเอง และเรียกว่า โรโบแท็กซี่ และ มัสก์ ยืนยันว่า บริษัทฯ ยังคงทุ่มเทในการส่งมอบความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติ ตามที่สัญญาไว้ตั้งแต่ปี 2559
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีใครรู้มากนักเกี่ยวกับรายละเอียดของรถดังกล่าว นอกจากบอกเป็นนัยว่า จะไม่มีพวงมาลัย ไม่มีคันเหยียบ และจะเป็นเหมือนกับ ไซเบอร์ทรัก ในแง่การออกแบบ
ข่าวแนะนำ