"โลกร้อน" ทำพฤติกรรมนกเปลี่ยน ปัจจัยเสี่ยงทำ "นกชนเครื่องบิน"
ภาวะโลกร้อนส่งผลให้พฤติกรรมและเส้นทางอพยพของนกเปลี่ยนแปลง เพิ่มความเสี่ยงของเหตุการณ์ “นกชนเครื่องบิน” ซึ่งเป็นภัยต่อความปลอดภัยทางการบิน เนื่องจากแหล่งอาหารธรรมชาติลดลง
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ “โลกร้อน” กำลังส่งผลกระทบต่อธรรมชาติในหลายมิติ หนึ่งในปัญหาที่เริ่มเห็นชัดขึ้นคือเหตุการณ์ “นกชนเครื่องบิน” หรือ “Bird Strike” ซึ่งสร้างความกังวลในวงการการบินทั่วโลก เนื่องจากโลกร้อนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเส้นทางการบินของนก ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของการเดินทางทางอากาศ
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นและฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้นกหลายชนิดต้องปรับตัว โดยการอพยพย้ายถิ่นฐานของนกไม่เป็นไปตามแบบแผนดั้งเดิมอีกต่อไป เส้นทางบินของพวกมันอาจตัดผ่านสนามบินหรือพื้นที่ที่มีเครื่องบินขึ้นลงบ่อยครั้ง นอกจากนี้ การหากินของนกก็เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำและทะเลสาบในหลายภูมิภาคแห้งแล้งลง นกจึงเริ่มเข้ามาในเขตเมืองและสนามบินเพื่อหาอาหารและที่อยู่อาศัย
เหตุการณ์ “Bird Strike” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการการบิน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนครั้งของการชนระหว่างนกกับเครื่องบินเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือเที่ยวบิน US Airways Flight 1549 ในปี 2009 ซึ่งเครื่องบินชนกับฝูงนกจนเครื่องยนต์ดับ และนักบินต้องลงจอดฉุกเฉินในแม่น้ำฮัดสัน แม้ว่ากรณีดังกล่าวจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกร้อนโดยตรง แต่สะท้อนถึงความร้ายแรงของปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี
อุบัติเหตุ “นกชนเครื่องบิน” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในสนามบินทั่วโลก อย่างในสหรัฐฯ มีรายงานเครื่องบินถูกนกบินชนมากกว่า 14,000 ครั้งต่อปี ส่วนในอังกฤษ มีรายงานนกบินชนเครื่องบินมากกว่า 1,500 ครั้งต่อปี ซึ่งช่วงที่เครื่องบินมีความเสี่ยงจะถูกนกบินชนมากที่สุด คือช่วงที่กำลัง Take Off หรือช่วงขึ้นบินออกจากสนามบิน กับช่วงที่กำลัง Landing หรือช่วงที่กำลังบินลงจอดที่สนามบิน ซึ่งเป็นช่วงที่เครื่องบินลดระดับความสูงลงมาอยู่ในระดับเดียวกับที่นกส่วนใหญ่บินบนท้องฟ้า
ที่สำคัญ พื้นที่รอบๆ สนามบิน ส่วนใหญ่เป็นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเป็นทุ่งหญ้าหรือหนองน้ำที่ดึงดูดให้นกหลากหลายสายพันธุ์บินเข้ามาหาอาหาร สนามบินบางแห่งอยู่ริมทะเล ซึ่งมีนกบินผ่านไปมาเป็นประจำ ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุนกชนเครื่องบิน แล้วยิ่งนกบางสายพันธุ์มีขนาดร่างกายที่ใหญ่และมักบินรวมกันเป็นฝูง หากบินชนเครื่องบิน ก็ยิ่งสร้างความเสียหายได้มาก ซึ่งหากนกบินชนถูกเครื่องยนต์ ก็อาจทำให้เครื่องยนต์ระเบิด และเครื่องบินตกกระแทกพื้นได้
ตัวอย่างนกสายพันธุ์นกที่มักบินชนเครื่องบิน ได้แก่ นกนางนวล นกพิราบ นกเหยี่ยว นกแร้ง นกฟลามิงโก ห่าน อย่างไรก็ตาม แม้อุบัติเหตุนกชนเครื่องบินจะเกิดขึ้นเป็นประจำ แต่มักไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเครื่องบินมาก ที่ผ่านมา มีรายงานผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุนกชนเครื่องบินทั่วโลก เพียง 292 คน ในช่วง 31 ปีที่ผ่านมา
นอกจากการสูญเสียชีวิตแล้ว อุบัติเหตุนกชนเครื่องบินยังสร้างความเสียหายให้กับตัวเครื่องบิน คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 340 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 11,500 ล้านบาท ในช่วงปี 2013 ถึงปี 2018 จากการประเมินของบริษัทประกันภัย Allianz Global Corporate
สนามบินหลายแห่งใช้วิธีการป้องกันไม่ให้นกบินเข้ามาภายในพื้นที่รอบ ๆ สนามบินหลากหลายวิธี ตั้งแต่วิธีดั้งเดิม อย่างการใช้หุ่นไล่กา หรือหุ่นที่เป็นสัตว์นักล่าวางไว้ตามจุดต่าง ๆ รอบ ๆ สนามบิน เพื่อหลอกให้นกบินไปที่อื่น การปล่อยคลื่นเสียง หรือการส่องแสงรบกวนที่นกไม่ชอบ แล้วยังมีวิธีการปล่อยสารเคมีที่มีกลิ่นที่นกไม่ชอบ เพื่อขับไล่นก ถ้าหากมีฝูงนกบินหลงเข้ามา ก็จะมีการส่งคำเตือนไปยังเครื่องที่กำลังจะลงจอด ให้เปลี่ยนเส้นทางการบินเพื่อความปลอดภัย
ปัญหานกชนเครื่องบินเป็นปัญหาที่หลายฝ่ายพยายามแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งองค์กรด้านการบิน สายการบิน และสนามบินแต่ละแห่งมักมีการประชุมร่วมกันเป็นประจำเพื่อแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้
นักวิจัยยังเน้นย้ำว่าการศึกษาพฤติกรรมของนกและผลกระทบจากโลกร้อนเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนแก้ไขปัญหาระยะยาว เพราะในขณะที่โลกยังคงเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเสี่ยงจากเหตุการณ์เช่นนี้อาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าโลกร้อนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบมากกว่าที่หลายคนคิด และการร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมการบินจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสารและความสมดุลของธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน
ภาพ: ENVATO
ข่าวแนะนำ