TNN จับตาเฮอริเคน "เบอรีล"ทวีกำลังแรงสุดในประวัติศาสตร์ คาดพายุลูกนี้พลังทำลายล้างสูง!

TNN

Earth

จับตาเฮอริเคน "เบอรีล"ทวีกำลังแรงสุดในประวัติศาสตร์ คาดพายุลูกนี้พลังทำลายล้างสูง!

จับตาเฮอริเคน เบอรีลทวีกำลังแรงสุดในประวัติศาสตร์  คาดพายุลูกนี้พลังทำลายล้างสูง!

เฮอริเคน “เบอรีล” ที่มีกำลังแรงระดับ 4 เตรียมถล่มประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน เสี่ยงเกิดสตอร์มเซิร์จ น้ำท่วมฉับพลัน ที่อันตรายถึงชีวิต

เฮอริเคน “เบอรีล” เพิ่มกำลังแรงอีกครั้ง ในช่วงเช้าของวันที่ 1 ก.ค. กลายเป็นเฮอริเคนระดับ 4 แล้ว ขณะเคลื่อนตัวผ่านหมู่เกาะวินด์เวิร์ด โดยเป็นพายุที่มีกำลังแรงที่สุด ที่พัดเข้าหมู่เกาะแห่งนี้ในรอบ 20 ปี ทำให้ชุมชนหลายแห่งของหมู่เกาะ ตกอยู่ในอันตรายจากคลื่นสูงซัดเข้าหาฝั่ง หรือสตอร์มเซิร์จ, กระแสลมแรง และน้ำท่วมฉับพลันที่อันตรายถึงชีวิต


ล่าสุดศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เฮอริเคน “เบอรีล” พัดขึ้นฝั่งเกาะกาเรียกู ในเกรนาดา โดยก่อนหน้านี้ สนามบินและห้างร้านธุรกิจต่าง ๆ ปิดให้บริการ ประชาชนทั่วแคริบเบียนได้รับคำแนะนำให้หาที่หลบภัย เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าพายุที่มีความรุนแรงพลังทำลายล้างสูง จะพัดถล่มภูมิภาคนี้ 


“เบอรีล” คาดว่าจะเคลื่อนตัวด้วยความเร็วลมสูงสุดที่จุดศูนย์กลาง 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอยู่ห่างจากตะวันออกเฉียงใต้ค่อนไปทางใต้ของเซนต์วินเซนต์ ประมาณ 145 กิโลเมตร และคาดว่าจะพัดถล่มหลายเกาะที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของแคริบเบียนตอนกลางในวันพุธ ก่อนที่พายุลูกนี้จะมุ่งหน้าสู่อ่าวเม็กซิโก 


มีการประกาศคำเตือนภัยเฮอริเคนในประเทศหมู่เกาะทะเลแคริบเบียน รวมทั้งประกาศเฝ้าระวังพายุในหลายพื้นที่ของสาธารณรัฐโดมินิกัน และเฮติด้วย 


เฮอริเคนลูกนี้ คาดว่าจะทำให้เกิดฝนตกหนักวัดปริมาณน้ำฝนได้ 3-6 นิ้ว ทั่วบาร์บาโดสและหมู่เกาะวิลด์เวิร์ด บางพื้นที่อาจสูงถึง 10 นิ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกรนาดีนส์ และเกรนาดา 


ทั้งนี้ การมาถึงของพายุเฮอริเคน “เบอรีล” ถือเป็นการเริ่มต้นฤดูพายุเฮอริเคนที่มหาสมุทรแอตแลนติกได้เร็วผิดปกติ ซึ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เฮอริเคนลูกนี้ได้กลายเป็นเฮอริเคนระดับ 4 ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของมหาสมุทรแอตแลนติก และเป็นเฮอริเคนระดับ 4 ลูกเดียวในเดือนมิถุนายน เป็นเพราะน้ำทะเลที่อุ่น ทำให้เฮอริเคนมีกำลังแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ฤดูพายุเฮอริเคนครั้งนี้จะแตกต่างจากปกติอย่างมาก เนื่องจากโลกร้อนขึ้นจากมลพิษที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล


ที่มา: Reuters



ข่าวแนะนำ